วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2568

Control the Narrative

 


🌟 สรุปหนังสือ Personal Branding 

“แบรนด์ตัวคุณ” คือทรัพย์สิน ไม่ใช่ภาพลวง

อย่าปล่อยให้คนอื่นเล่าเรื่องของคุณแทน
จงเขียนเรื่องราวของตัวเอง – อย่างมีกลยุทธ์และมีเป้าหมาย


💡 ทำไม Personal Brand ถึงสำคัญ?

  • คือ ภาพจำมืออาชีพ ที่ผู้อื่นมีต่อคุณ

  • สร้างหรือทำลายโอกาสทางอาชีพได้โดยตรง

  • มีผลต่อการเลื่อนตำแหน่ง, สร้างธุรกิจ, ฟื้นฟูชื่อเสียง


🔎 ขั้นตอนการสร้าง Personal Brand อย่างมีประสิทธิภาพ

1. ประเมินภาพลักษณ์ที่คุณมีในตอนนี้

  • ขอ feedback จาก 3 กลุ่ม:

    1. Mentors (ตรงไปตรงมา)

    2. Peers (ร่วมงานประจำ)

    3. คนที่ “ไม่เลือก” ร่วมงานกับคุณ

  • ตรวจสอบรอยเท้าดิจิทัล:
    Google, Social media, คอมเมนต์สาธารณะ ฯลฯ

🔁 เป้าหมาย: หาจุด “ไม่ตรงกัน” ระหว่างสิ่งที่คุณ อยากให้คนเห็น กับสิ่งที่ คนมองเห็นจริง ๆ


2. ตอบคำถาม 3 ข้อของกลยุทธ์แบรนด์

คำถาม แนวทางตอบ
👥 ใครต้อง “สนใจ” คุณ? เช่น หัวหน้า, ลูกค้า, นักลงทุน, ผู้นำในวงการ
💬 อยากให้พวกเขา “รู้สึก” อย่างไร? เช่น วางใจคุณ, รู้สึกว่าได้แรงบันดาลใจ
🧭 จะทำให้เกิดผลลัพธ์นี้ “อย่างไร”? กำหนดเป้าหมายย่อยและการลงมือที่วัดผลได้

3. สอดคล้อง (Consistency) คือหัวใจของแบรนด์

  • ไม่ใช่แค่ "พูดว่า" มีค่านิยม แต่ต้อง "ทำให้เห็น" ด้วยพฤติกรรม

  • ตัวอย่าง: ถ้าบอกว่าใส่ใจ work-life balance แต่ตอบงานตลอดวันหยุด → คนจะไม่เชื่อ


⚒️ Tactics สร้างแบรนด์ให้โดดเด่นอย่างจริงใจ

🔁 เปลี่ยน Self-talk

“ฉันไม่เก่งพูด” → “ฉันกำลังฝึกการสื่อสารที่ดีขึ้น”

🤝 สร้างเครือข่ายเชิงกลยุทธ์

บทบาทในเครือข่าย ตัวอย่าง
Decision-makers ผู้ว่าจ้าง, ผู้บริหาร
Influencers ผู้มีชื่อเสียงในวงการ
Info Sources ผู้รู้เฉพาะทาง
Cheerleaders คนให้กำลังใจและชี้แนวทาง

🌐 คุมภาพลักษณ์ออนไลน์

  • อย่าโพสต์ตอนโกรธ

  • โพสต์ที่ดี = แสดงความเชี่ยวชาญ + บุคลิกจริงใจ

  • ความชัดเจนเรื่องตัวตน = จุดแข็ง เช่น นักวางแผนการเงินที่รัก heavy metal ใช้สิ่งนี้สร้างความแตกต่าง


🔥 เมื่อแบรนด์พัง: ฟื้นฟูชื่อเสียงอย่างเป็นระบบ

ขั้นตอน กลยุทธ์
📉 ประเมินความเสียหาย แยก “ดราม่าเล็ก” กับ “ภัยจริง”
💬 รับผิดอย่างจริงใจ ไม่เลี่ยง ไม่แถ ให้ข้อมูลครบชัด
⏳ ตอบกลับอย่างมีสติ อย่ารีบโต้กลับทันที — ความนิ่งคือพลัง
🎯 วางแผนฟื้นชื่อเสียง เช่น เขียนบทความ, บรรยายวิชาการ, สร้างผลงานใหม่
👥 ขอความช่วยเหลือ นักกฎหมาย, ผู้เชี่ยวชาญ crisis communication
📊 ติดตามผล วัดด้วยทั้ง feedback, google result, โอกาสที่เริ่มกลับมา

🧭 สรุปแนวคิดหลัก

Personal brand ที่ดีไม่ใช่ “ภาพลักษณ์ปลอม” แต่คือการ แสดงตัวตนที่แท้จริง
อย่าง สม่ำเสมอ มีเจตนา และมีคุณค่า ต่อตัวเองและผู้อื่น

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2568

13 Things Mentally Strong Women Don't Do

 


💪 สรุปหนังสือ 13 Things Mentally Strong Women Don’t Do โดย Amy Morin

(13 สิ่งที่ผู้หญิงเข้มแข็งทางจิตใจ "ไม่ทำ")


Amy Morin เสนอว่า…

การฝึกความแข็งแกร่งทางใจไม่ใช่การเพิ่มกิจกรรมในชีวิต
แต่คือ “การเลิกทำ” สิ่งที่บั่นทอนความมั่นใจและศักยภาพของเรา


🔍 สาระสำคัญของทั้ง 13 สิ่งที่ควรเลิกทำ

สิ่งที่ "ไม่ทำ" เนื้อหาโดยสังเขป
1. เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น หยุดวัดคุณค่าตัวเองจากภาพชีวิตคนอื่น (โดยเฉพาะในโซเชียล) และหันมาสนใจความก้าวหน้าของตัวเองแทน
2. พยายามทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ เลิกปล่อยให้ความสมบูรณ์แบบพรากเวลาชีวิต ความสุข และความกล้าลงมือทำ
3. ปิดบังความเปราะบางของตัวเอง ฝึกเปิดใจให้คนที่ไว้ใจ เพราะ “ความเปราะบาง” คือรากฐานของความแข็งแรงในระยะยาว
4. ปล่อยให้ความสงสัยในตัวเองครอบงำ รวบรวม “หลักฐาน” ที่สนับสนุนศักยภาพของตัวเอง แทนที่จะฟังเสียงในหัวที่บอกว่า “ฉันทำไม่ได้”
5. คิดวนเวียนเกินเหตุ (Overthinking) จัดเวลาสำหรับความกังวล และ “เปลี่ยนช่อง” ด้วยกิจกรรมเล็ก ๆ เพื่อตัดวงจรความคิด
6. อยู่แต่ใน Comfort Zone เติบโตต้องอาศัยความกล้า — เริ่มจากก้าวเล็ก ๆ เช่น กล้าต่อรองเงินเดือน หรือเริ่มสิ่งใหม่ที่เคยกลัว
7. เชื่อฟัง "กฎเงียบ" ที่สังคมตั้งไว้ ท้าทายความคาดหวังเก่า ๆ เช่น “ผู้หญิงห้ามเริ่มก่อน” หรือ “แม่ต้องอยู่บ้าน”
8. โทษตัวเองทุกเรื่อง แยกให้ออกระหว่าง “ความรับผิดชอบ” กับ “การโทษตัวเอง” และพูดกับตัวเองเหมือนที่พูดกับเพื่อนรัก
9. เงียบเวลาโดนกดขี่หรือดูถูก การกล้าเปล่งเสียง (แม้แค่กับเพื่อนสนิท) คือจุดเริ่มของการเรียกร้องความยุติธรรมทั้งต่อตัวเองและสังคม
10. ยึดติดกับตัวตนเก่า ๆ ชีวิตเปลี่ยน เราก็เปลี่ยนได้ เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่และกล้าลองชีวิตแบบที่ไม่เคยกล้าคิดมาก่อน
11. ฉุดรั้งผู้หญิงคนอื่น แทนที่จะวิจารณ์ผู้หญิงคนอื่น ลอง “ยื่นมือ” สร้างเครือข่ายสนับสนุนซึ่งกันและกัน
12. กลัวการถูกปฏิเสธ ฝึกจัดการ self-talk เชิงลบ เช่น “ฉันไม่เก่งเรื่องนี้” และกล้าเผชิญคำวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์
13. ปฏิเสธความสำเร็จของตัวเอง หยุดถ่อมตัวแบบไม่จำเป็น กล้าภูมิใจในความสามารถและเปิดรับคำชมอย่างมั่นใจ

🧠 ข้อคิดสำคัญ

  • ความเข้มแข็งทางใจไม่ใช่เรื่องของ “ความแกร่ง” แต่คือ การกล้ารู้สึก, กล้ายอมรับตัวเอง, กล้าเปลี่ยนแปลง

  • ถ้ารู้สึกติดกับดักชีวิต ลองเริ่มจาก “การหยุดทำบางสิ่ง” แทนการ “ทำเพิ่มเข้าไป”

Growth

 


🌱 สรุป: The Growth Delusion & The Future of Progress

(เศรษฐกิจยุคใหม่: ทางแยกระหว่างการเติบโต, ความยั่งยืน และคุณค่าของมนุษย์)


🔑 แนวคิดหลัก:

“การเติบโตทางเศรษฐกิจ” เป็นเรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์มนุษย์
แม้จะยกระดับชีวิตมนุษย์ แต่ก็สร้าง ปัญหาสิ่งแวดล้อม, ความเหลื่อมล้ำ, และวิกฤตทางสังคม
คำถามคือ: เราจะรักษาความก้าวหน้าโดยไม่ทำลายอนาคตได้อย่างไร?


🕰️ ภาพรวมวิวัฒนาการเศรษฐกิจ

ยุค ลักษณะเด่น
🪓 ยุคนักล่าสะสม → 1700s “ความยากจนถาวร”: ใช้ชีวิตใกล้เส้นความอยู่รอด
🧊 Malthusian Trap ประชากรเพิ่ม → ทรัพยากรไม่พอ → ยากจนวนลูป
⚙️ Industrial Revolution (~1800) ปลดล็อก Malthusian trap → รายได้-สุขภาพพุ่งสูง
📈 ศตวรรษที่ 20–21 การเติบโตกลายเป็น “เป้าหมายหลัก” ของทุกชาติ

💣 จุดพลิก: ทำไมโลกถึงหมกมุ่นกับ GDP?

  • เริ่มจาก WWII → ต้องคำนวณว่าใช้ทรัพยากรทำสงครามได้แค่ไหน

  • Simon Kuznets สร้าง “GDP” ขึ้นมา → ต่อมาใช้เป็นเครื่องมือของสงครามเย็นและการฟื้นฟูหลังสงคราม

  • รัฐบาลทั่วโลก (รวมถึง UN) ยึด GDP เป็น มาตรวัดความสำเร็จ

  • แต่ GDP วัดแค่กิจกรรมตลาด ไม่รวมคุณภาพชีวิต, สุขภาพจิต, สิ่งแวดล้อม หรือเวลาว่าง


⚠️ ด้านมืดของการเติบโตแบบไม่ยั้ง

ปัญหา ตัวอย่าง
🌍 สิ่งแวดล้อมพัง CO₂ สูงสุดในรอบ 800,000 ปี, ภาวะโลกร้อน, ป่าไม้ถูกทำลาย
📉 ความเหลื่อมล้ำ 0.01% รวยขึ้น 5 เท่า (1981–2017), คนจนรายได้ลด
🤖 เทคโนโลยีป่วนแรงงาน Automation ทำลายงานระดับกลาง, AI ทำให้รายได้กระจุก
🌐 โลกาภิวัตน์ผิดจังหวะ โลกกำลังพัฒนาเติบโต แต่แรงงานในประเทศพัฒนาแล้วตกงาน

🛤️ เส้นทางสู่เศรษฐกิจแบบ “เติบโตอย่างฉลาด”

✅ แนวทาง 1: GDP Minimalism

  • ไม่เลิกใช้ GDP แต่ลดความสำคัญลง

  • ใช้ dashboard แบบหลายมิติ เช่น:

    • ความเท่าเทียมทางรายได้

    • ความสุข / สุขภาพจิต

    • ความยั่งยืนของระบบนิเวศ

    • ความผูกพันในชุมชน

✅ แนวทาง 2: Degrowth (ลดการเติบโตแบบทำลายล้าง)

  • ไม่ใช่หยุดเศรษฐกิจ → แต่ “ลดกิจกรรมที่ไร้ค่า” เช่น การผลิตของฟุ่มเฟือย

  • ปัญหา: ขาดแนวทางชัดเจนและความเห็นไม่เป็นเอกภาพ


💡 ทางออกที่แท้จริง: Ideas > Resources

ทรัพยากรมีจำกัด แต่ไอเดียไม่มีวันหมด

🔄 4 กลไกเปลี่ยนแนวคิดการเติบโต:

  1. Reform กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (IP)

    • หยุด “จดไว้แต่ไม่พัฒนา” → ใช้หรือสูญสิทธิ

  2. เพิ่มงบวิจัย + ลดระเบียบไร้ประโยชน์

    • ตัด “ผู้บริหาร” ที่ล้นในมหาวิทยาลัย → เพิ่มนักวิจัย

  3. กระจายโอกาสเข้าร่วม (participation)

    • เปิดโอกาสให้คนทั่วไปเข้าถึงการศึกษา/นวัตกรรม

  4. ใช้ AI อย่างมีจริยธรรม

    • AI ที่ “เสริมแรงงาน” ไม่ใช่ “แทนแรงงาน”


⚖️ Trade-offs คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ “จัดการได้”

ด้าน แนวทางลดผลกระทบ
🌿 สิ่งแวดล้อม สนับสนุนพลังงานสะอาด เช่น solar ที่ตอนนี้คุ้มทุน
👩‍🏭 แรงงาน ใช้ภาษี+เงินอุดหนุนสนับสนุนเทคโนโลยีที่ เสริมงาน ไม่แทนคน
📜 กฎหมาย กำกับนวัตกรรมให้เป็นไปในทางที่มีคุณค่า เช่น COVID ทำให้ปรับตัวได้เร็ว
🧭 นิยามใหม่ของ “การเติบโต” ไม่ใช่แค่ปริมาณผลผลิต แต่รวม “คุณภาพชีวิต-ธรรมชาติ-ศีลธรรม”

🌎 สรุปส่งท้าย:

การเติบโต = เครื่องมือ ไม่ใช่เป้าหมาย
หากเราเลิกหมกมุ่นกับ “โตเท่าไหร่” และเริ่มถามว่า “โตไปเพื่ออะไร?”
เราก็จะสามารถออกแบบระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ “ยั่งยืน เป็นธรรม และมีความหมาย”

How Economics Explains the World

 


🌍 สรุป : The Hidden Story of Economics

(เศรษฐศาสตร์: เรื่องราวเบื้องหลังโลกและมนุษยชาติ)


🔑 แนวคิดหลัก:

เศรษฐศาสตร์ไม่ใช่แค่ตัวเลขหรือตลาดหุ้น แต่คือเรื่องราวของ การตัดสินใจ ความร่วมมือ และวิวัฒนาการทางสังคม
มันคือกระจกสะท้อนการเติบโตของมนุษย์จากยุคหาของป่า → อารยธรรม → การปฏิวัติอุตสาหกรรม → โลกาภิวัตน์ → ความท้าทายแห่งศตวรรษที่ 21


📚 เส้นทางเศรษฐกิจของโลกมนุษย์ (เรียงตามเวลา)


🏹 1. การปฏิวัติเกษตรกรรม (~10,000 ปีก่อน)

  • ทำให้มนุษย์ตั้งรกราก สร้างส่วนเกินอาหาร → เกิดชนชั้น, การแบ่งแรงงาน, เทคโนโลยี

  • ภูมิศาสตร์ มีผล: ยูเรเซียได้เปรียบเรื่องพืช/สัตว์และภูมิอากาศ → พัฒนาเร็วกว่าแอฟริกา/อเมริกา


🌊 2. โครงสร้างพื้นฐาน & การค้าทางทะเล

  • คลองใหญ่ของจีน เชื่อมเศรษฐกิจเหนือ-ใต้, สร้างความมั่งคั่ง

  • ยุคเรือใบ (Age of Sail) → ค้าข้ามทวีป, เริ่มต้นโลกาภิวัตน์

  • เมืองท่าสำคัญ เช่น เวนิส, ลิสบอน พัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่บางเมืองเสื่อมลงเมื่อปิดกั้นโอกาสคนทั่วไป


💡 3. แนวคิดใหม่ จุดไฟการปฏิวัติ

  • สิ่งประดิษฐ์ไม่ลดค่าเมื่อใช้ร่วมกัน (non-rival ideas) เช่น แว่นตา, แท่นพิมพ์ → กระจายความรู้

  • ศาสนา เช่น การปฏิรูปโปรเตสแตนต์ → ส่งเสริมการรู้หนังสือ → ยกระดับเศรษฐกิจ


🏭 4. การปฏิวัติอุตสาหกรรม (ศตวรรษที่ 18)

  • เทคโนโลยีอย่างเครื่องจักรไอน้ำของ James Watt → ปฏิวัติการผลิต

  • Ford & สายการผลิตแบบ mass production ทำให้สินค้าเข้าถึงคนทั่วไป

  • เปิดการค้าเสรี (เช่น ยกเลิก Corn Laws) แต่ก็มีด้านมืด (เช่น สงครามฝิ่น)


💸 5. สงครามโลกและรัฐสวัสดิการ

  • WWI → ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงในเยอรมัน

  • WWII → ก่อตั้ง IMF, World Bank, ยุค เคนส์นิยม → รัฐมีบทบาทในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

  • ยุค “30 ปีรุ่งเรือง” (1945–1975): รายได้มั่นคง, สวัสดิการดี, เศรษฐกิจขยายตัวในโลกตะวันตก


🔁 6. เสรีนิยมใหม่ & โลกาภิวัตน์ (1970s–1990s)

  • จีน ปฏิรูปเศรษฐกิจจากเบื้องล่าง → เริ่มปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ

  • Friedman / Reagan / Thatcher: ลดบทบาทรัฐ, เน้นกลไกตลาด

  • การควบคุมเงินเฟ้อ ผ่าน central bank (เริ่มที่นิวซีแลนด์) → เศรษฐกิจเสถียรขึ้น

  • WTO, ยูโร, เปิดเสรีการค้า = เศรษฐกิจโลกเชื่อมโยงแน่นแฟ้นขึ้น → แต่ ความเหลื่อมล้ำก็เพิ่ม


🧠 7. ศตวรรษที่ 21: เศรษฐศาสตร์ยุคใหม่

  • ไม่ใช่แค่ “มนุษย์เหตุผล” แต่รวม พฤติกรรม, อัตลักษณ์, สังคม

  • เผชิญ ความเสี่ยงใหญ่ (tail risks) เช่น

    • ภาวะโลกร้อน → ใช้ “ราคาคาร์บอน” จัดการ

    • AI & เทคโนโลยี → ต้องมีกรอบจริยธรรม

    • ความไม่แน่นอนระดับโลก → ต้องการความร่วมมือข้ามพรมแดน


💡 บทสรุปแนวคิดเศรษฐศาสตร์ที่ควรรู้

แนวคิด ความหมาย
📈 การเชี่ยวชาญและการค้า สร้างมูลค่าและผลผลิตที่มากขึ้นร่วมกัน
⚖️ ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) การเลือกสิ่งหนึ่ง = เสียอีกสิ่งหนึ่ง
⏳ ผลกระทบในระยะยาว นโยบายวันนี้อาจมีผลในทศวรรษหน้า
🧩 เครือข่ายปัจจัยซับซ้อน เศรษฐกิจ = ผลรวมของเทคโนโลยี วัฒนธรรม การเมือง
🌱 นวัตกรรมสร้างโอกาส แต่หากไร้การกระจายผลประโยชน์ → เกิดปัญหาใหม่

🌍 สรุปส่งท้าย:

เศรษฐศาสตร์ = เรื่องราวของมนุษย์
มันเล่าถึงความพยายามในการเอาชนะความขาดแคลน สร้างความมั่งคั่ง และรับมือกับอนาคต
ใครเข้าใจมัน = เข้าใจอดีต และมีพลังจะออกแบบอนาคต

Money

 


💰 สรุป: The Money Game โดย David McWilliams

(เรื่องราวของเงินผ่านประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของมนุษย์)


🔑 แนวคิดหลัก:

เงินไม่ใช่แค่เหรียญหรือธนบัตรในมือเรา แต่คือ “เทคโนโลยีทางสังคม” (social technology) ที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อจัดระเบียบความสัมพันธ์ ความเชื่อ ความเสี่ยง และความหวังร่วมกัน มันวิวัฒน์ควบคู่ไปกับการพัฒนาอารยธรรม


🕰️ วิวัฒนาการของเงินใน 6 ช่วงสำคัญ


🪵 1. เงินยุคแรก: จากเมล็ดข้าวถึงรัฐชาติ

  • เมื่อมนุษย์ตั้งถิ่นฐานและเริ่มทำเกษตร → ต้องการระบบแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่นกว่าบาร์เตอร์

  • ข้าวบาร์เลย์ = สกุลเงินแรก (ใช้วัดค่าแรง, ค่าเช่า, ภาษี)

  • ยุ้งข้าว = ธนาคารกลางยุคโบราณ → ควบคุมปริมาณเงินผ่านปริมาณข้าวที่เก็บและจ่าย

  • การมี “เงิน” ทำให้รัฐสามารถเก็บภาษี สร้างระบบราชการ กองทัพ และอารยธรรม


📈 2. การคิดดอกเบี้ย: เมื่อเวลา = มูลค่า

  • ในสุมเมอร์ยุค 5,000 ปีก่อน: เริ่มคิดดอกเบี้ยจากการยืมข้าว → “เวลา” กลายเป็นสิ่งที่มีราคา

  • ดอกเบี้ย = เครื่องมือจัดการความเสี่ยงและการวางแผนอนาคต

  • เกิดระบบเครดิต-หนี้-การลงทุน → กระตุ้นนวัตกรรมทางเศรษฐกิจตั้งแต่ยุคแรก


🧾 3. เงินกระดาษ = สังคมแห่งความเชื่อมั่น

  • ยุคก่อน: เงินต้องมี “ของจริง” หนุนหลัง (ทอง, เงิน, สินทรัพย์)

  • เงินกระดาษ = สัญญาในสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่มี “ความเชื่อถือ” รองรับ

  • การพิมพ์เงินในจีน (ราชวงศ์ซ่ง), การก่อตั้งธนาคารในอัมสเตอร์ดัม → จุดเริ่มของ ระบบธนาคารกลาง และ “เงินบนความเชื่อ” (fiat money)


🏦 4. เงิน = เครดิต

  • ปัจจุบัน >90% ของเงินในระบบ = ตัวเลขในบัญชี ไม่ใช่เหรียญ/ธนบัตร

  • ธนาคารไม่ได้ “ให้ยืมเงินที่มี” → แต่ “สร้างเงิน” จากการปล่อยกู้

  • เงิน = ระบบสัญญา: ความเชื่อ, ความรับผิดชอบ และความเสี่ยง → เศรษฐกิจวันนี้สร้างจาก เครดิตมากกว่าเงินสด


📱 5. M-Pesa: ตัวอย่างที่ดีที่สุดของเงินยุคใหม่

  • เริ่มที่เคนยา (2007): เปลี่ยนโทรศัพท์ธรรมดาให้กลายเป็น “กระเป๋าเงิน” ผ่านข้อความ SMS

  • ทำหน้าที่เหมือนธนาคาร: ฝาก ถอน โอน จ่าย ยืม

  • แก้ปัญหาจริงให้คนส่วนใหญ่ที่ “เข้าไม่ถึงระบบธนาคาร” ได้อย่างชาญฉลาด
    30% ของ GDP เคนยาผ่าน M-Pesa

  • ต่างจากคริปโตฯ → M-Pesa สำเร็จเพราะ ใช้งานได้จริง + ผู้คนเชื่อถือ


🌍 6. เงิน = ภาษาของสังคม

  • เหมือนภาษาพูด: เงินพัฒนาและเปลี่ยนแปลงตามบริบทและปัญหาที่ผู้คนต้องเผชิญ

  • เงินที่เวิร์ก = ต้องแก้ปัญหาได้ เชื่อถือได้ และเข้าใจง่าย


💡 ข้อคิดสำคัญ

สิ่งที่ “เงิน” คือ คำอธิบาย
🔧 เครื่องมือทางสังคม จัดการความร่วมมือและทรัพยากรในชุมชนขนาดใหญ่
⏳ ตัวแทนของเวลา ดอกเบี้ย = มูลค่าของเวลา + ความเสี่ยงในอนาคต
🤝 การตกลงร่วมกัน ไม่มีเงินที่ “มีค่าโดยกำเนิด” → มีค่าเพราะเรา “ยอมรับร่วมกัน”
🧠 ความเชื่อ เงิน fiat ใช้ได้เพราะเราเชื่อในผู้ออกมัน (รัฐบาล, ธนาคาร)
📊 สัญญาทางเศรษฐกิจ ระบบเครดิต = สร้างเงินผ่านสัญญา ไม่ใช่ของจริง

🧠 สรุปสั้นที่สุด:

เงินไม่ใช่สิ่งของ แต่มันคือความเชื่อร่วม + เครื่องมือทางสังคม
มันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามปัญหาและโอกาสที่มนุษย์ต้องเผชิญ

Clashing over Commerce

 


สรุป : The History and Politics of U.S. Trade Policy


🧭 ภาพรวม:

นโยบายการค้าของสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงอย่างมากในรอบ 200 ปี — จากการเป็นเครื่องมือหาเงินให้รัฐบาล กลายเป็นประเด็นการเมืองร้อนแรงที่สะท้อนความขัดแย้งเรื่องภูมิภาค อุดมการณ์ และบทบาทของอเมริกาในโลกยุคโลกาภิวัตน์


🕰️ พัฒนาการสำคัญของนโยบายการค้าอเมริกัน

🔹 1. ยุคอาณานิคมถึงหลังปฏิวัติ (1760s–1790s):

  • อังกฤษควบคุมการค้าผ่านกฎหมาย Navigation Acts → จุดชนวนการปฏิวัติ

  • หลังอิสรภาพ รัฐธรรมนูญใหม่ให้ “สภาคองเกรส” มีอำนาจควบคุมการค้าระหว่างประเทศและตั้งภาษีนำเข้าเพื่อหารายได้รัฐ

🔹 2. ยุคภาษีศุลกากรเป็นรายได้หลัก (1790s–1850s):

  • รัฐบาลกลางใช้ ภาษีนำเข้า (tariffs) แทนภาษีรายได้ → ง่ายต่อการจัดเก็บ

  • ความขัดแย้งเหนือ-ใต้ เริ่มปรากฏ:

    • เหนือสนับสนุนการปกป้องอุตสาหกรรม

    • ใต้พึ่งพาการส่งออกและสินค้านำเข้า → คัดค้านภาษีสูง

🔹 3. ยุคปกป้อง (Protectionist Era, 1861–1930):

  • หลังสงครามกลางเมือง ภาษีนำเข้าสูงขึ้นและ “ค้างคา” นานเกือบ 70 ปี

  • พรรครีพับลิกันสนับสนุนแนวคิด “ปกป้องอุตสาหกรรม”

  • Smoot-Hawley Tariff (1930) ยิ่งเพิ่มภาษี → นำไปสู่สงครามภาษีและซ้ำเติมเศรษฐกิจช่วง Great Depression

🔹 4. ยุคการเจรจาและความร่วมมือ (1934–1980s):

  • Reciprocal Trade Agreements Act (1934): โอนอำนาจเจรจาการค้าจากสภาให้ประธานาธิบดี

  • สหรัฐฯ ก่อตั้ง GATT (1947) → เริ่มวางระบบการค้าเสรีพหุภาคี

  • นโยบายการค้าเชื่อมโยงกับ ยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ ในบริบทสงครามเย็น

🔹 5. ความเห็นพ้องแบบสองพรรค (1940s–1980s):

  • ทั้งเดโมแครตและรีพับลิกันสนับสนุนการค้าเสรี

  • ใช้การลดภาษีเพื่อส่งเสริมการเติบโตและสร้างพันธมิตรในสงครามเย็น

  • มาตรการ “ผ่อนผันเฉพาะกลุ่ม” (quotas, safeguards) ใช้บรรเทาผลกระทบภายในประเทศ

🔹 6. โลกาภิวัตน์และจุดแตกหัก (1990s–ปัจจุบัน):

  • NAFTA (1993) ได้รับเสียงสนับสนุนสองพรรค แต่เริ่มมีแรงต้านจากประชาชนและแรงงาน

  • จีนเข้า WTO (2001) → เปิดตลาดใหม่แต่กระทบอุตสาหกรรมการผลิตในสหรัฐฯ

  • การคัดค้าน TPP และท่าทีของผู้สมัครในปี 2016 (ทรัมป์และแซนเดอร์ส) สะท้อนว่า “การค้าเสรี” กลายเป็นเป้าหมายโจมตีทางการเมือง

  • ประเด็นการค้า = ตัวแทนของความไม่เท่าเทียมและอัตลักษณ์ทางเศรษฐกิจ


⚖️ แรงตึงเครียดที่ต่อเนื่องในนโยบายการค้า

ประเด็น มุมมองหนึ่ง มุมมองตรงข้าม
การปกป้องอุตสาหกรรม รักษางาน, ส่งเสริมการผลิตในประเทศ เพิ่มราคาสินค้า, จุดชนวนตอบโต้จากต่างประเทศ
การค้าเสรี เปิดตลาด ส่งออกได้มากขึ้น, เสริมพันธมิตร สูญเสียงานในภาคการผลิต, ค่าแรงนิ่ง
อำนาจการเจรจา ประธานาธิบดีควรมีอำนาจเพื่อความคล่องตัว สภาควรมีบทบาทเพื่อตรวจสอบผลกระทบในท้องถิ่น

🧠 สาระสำคัญ

  • นโยบายการค้า = ภาพสะท้อนของ “ภูมิรัฐศาสตร์” + “ผลประโยชน์ในประเทศ”

  • จากเครื่องมือเก็บภาษี → กลายเป็นเวทีต่อสู้ทางอุดมการณ์

  • วันนี้ การค้าถูกมองว่าไม่ใช่แค่ “เรื่องเศรษฐกิจ” แต่เกี่ยวข้องกับ ตัวตนของประเทศ และความเป็นธรรมทางสังคม

Technofeudalism

 


🧠 สรุป Technofeudalism: What Killed Capitalism โดย Yanis Varoufakis


📌 แนวคิดหลัก:

Varoufakis เสนอว่า “เทคโนฟิวดัลลิสม์” (Technofeudalism) กำลังเข้ามาแทนที่ทุนนิยมแบบดั้งเดิม หลังจากวิกฤตการเงินปี 2008 ที่รัฐบาลพยายาม “กู้วิกฤตทุนนิยม” ด้วยการอัดฉีดเงินมหาศาล — กลับกลายเป็นการเปิดทางให้ Big Tech กลายเป็น “ขุนนางดิจิทัล” ที่ควบคุมชีวิตและข้อมูลของเราแบบไม่รู้ตัว


📍 เส้นทางจากทุนนิยม → เทคโนฟิวดัลลิสม์

ระบบ ทุน & อำนาจ แรงงาน รายได้หลัก
Feudalism ที่ดินของขุนนาง ชาวนา (serfs) ค่าเช่าที่ดิน (rent)
Capitalism เครื่องมือการผลิต คนงาน (laborers) กำไรจากสินค้า (profit)
Technofeudalism ข้อมูล + แพลตฟอร์ม ผู้ใช้ (users) ค่าเช่าดิจิทัล (digital rent)

💥 จุดพลิกผัน: วิกฤตปี 2008

  • รัฐบาลอัดฉีด $35 ล้านล้าน เข้าระบบการเงิน (Quantitative Easing)

  • คาดหวังให้เงินไหลสู่ภาคการผลิต → แต่ไปสู่ “สินทรัพย์เก็งกำไร” (หุ้น อสังหาฯ Crypto)

  • บริษัท Big Tech ได้รับเงินทุนมหาศาลแม้ยังไม่มีกำไร → ลงทุนสร้าง cloud capital (อัลกอริธึม, แพลตฟอร์ม, server)


🏰 โลกใหม่แบบ “Amazontown”

  • Amazon ไม่ใช่ตลาดแข่งขันเสรี → มันคือ “อาณาจักรดิจิทัล” ที่ควบคุมโดยอัลกอริธึมของ Jeff Bezos

  • บริษัทอื่นต้องจ่ายค่าเช่าถึง 50% เพื่อเข้าถึงผู้บริโภค

  • Facebook, TikTok, Uber, Apple ก็คล้ายกัน → ควบคุม “เส้นทางเข้าตลาด” ทั้งหมด


🧱 ข้อแตกต่างจากทุนนิยม

คุณลักษณะของทุนนิยม สถานะในยุค Big Tech
ผลิตสินค้า (commodities) ไม่ใช่เป้าหมายหลัก (เน้นพฤติกรรม & ความสนใจ)
จ้างแรงงานจำนวนมาก ใช้แรงงานน้อย (<1% ของรายได้)
ใช้ทุนผลิตสิ่งของ ใช้ cloud capital เพื่อควบคุมข้อมูล & พฤติกรรม
แข่งขันเพื่อกำไร หลายบริษัทขาดทุนแต่ยังอยู่รอดได้จากเงินทุนเสมือน

📲 “แรงงานฟรี” ในระบบใหม่

  • เรา = digital serfs → ผลิตคอนเทนต์ แชร์ข้อมูล สร้าง engagement

  • Big Tech ได้ “ค่าเช่า” จากข้อมูลโดยไม่ต้องจ้างเรา

  • อัลกอริธึมสร้างวงจรติดหนึบ → เราเทรนมัน มันก็เทรนเรา


🧩 สาระสำคัญที่ควรตระหนัก

  1. Big Tech คือผู้เก็บค่าผ่านทางในยุคใหม่

    • ทุกธุรกิจ (แม้แต่คนเดินหมา) ต้องผ่านแพลตฟอร์ม

    • โดนแบน = สูญพันธุ์ทันที

  2. ทุนของ Big Tech ไม่ได้ผลิตสิ่งของ แต่ควบคุมพฤติกรรม

    • เปลี่ยน “กำไร” → เป็น “การเก็บข้อมูลและควบคุมพฤติกรรมมนุษย์”

  3. ผู้ใช้คือผู้ผลิต แต่ไม่ได้รับค่าจ้าง

    • การใช้งาน = การทำงาน

    • แต่เรา “เต็มใจ” เพราะมันให้ความบันเทิงและความสะดวก

  4. รัฐตั้งใจจะ “ช่วยทุนนิยม” แต่กลับช่วยปลุก Technofeudalism

    • รัฐพิมพ์เงิน → ทุนไหลไปสู่แพลตฟอร์ม ไม่ใช่ภาคการผลิต

    • เศรษฐกิจหดตัว แต่ Big Tech เติบโตจากข้อมูล & อำนาจเครือข่าย


🧠 บทสรุป:

“เทคโนฟิวดัลลิสม์” คือระบบใหม่ที่ไม่ใช่ทั้งทุนนิยมเก่า หรือสังคมนิยมใหม่ — แต่เป็นการรวมอำนาจผ่านข้อมูล ความสนใจ และการเข้าถึงลูกค้า โดยเจ้าของแพลตฟอร์มดิจิทัล

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เกิดจากการปฏิวัติหรือแรงงาน แต่จากการ กดไลก์ แชร์ และเปิดแอปซ้ำ ๆ ทุกวัน