ปีติ
ปีติ (Pīti) หมายถึงความอิ่มเอิบปลาบปลื้มในจิตใจหรือความดื่มด่ำใจอย่างลึกซึ้ง
ซึ่งเป็นสภาวะทางอารมณ์เชิงบวกที่มนุษย์ทุกยุคสมัยมุ่งแสวงหา
ไม่ว่าจะในบริบททางศาสนา ปรัชญา หรือทางวิทยาศาสตร์
ปีติถูกมองว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเติมเต็มชีวิตให้มีความหมายและความสุขอย่างแท้จริง
บทความนี้จะแบ่งการสำรวจ “ปีติ” ออกเป็นสามมิติหลัก ได้แก่ ศาสนา (มุมมองของปีติในศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม), ปรัชญา
(แนวคิดเรื่องปีติในปรัชญาตะวันออกและตะวันตก) และ วิทยาศาสตร์
(การอธิบายปีติในเชิงจิตวิทยาและประสาทวิทยาศาสตร์) เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนของความหมายและบทบาทของปีติในแขนงความรู้ต่าง
ๆ
ศาสนา
พุทธศาสนา
ในทางพระพุทธศาสนา “ปีติ”
มีความหมายถึงความเอิบอิ่มใจอย่างแรงกล้าและเป็นองค์ธรรมสำคัญในการปฏิบัติสมาธิภาวนา
โดยปีติจัดเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของฌาน (ภาวะจิตที่ตั้งมั่นแน่วแน่) เช่น
ในปฐมฌานจะเกิดปีตร่วมกับสุขและองค์ธรรมอื่น ๆ และในทุติยฌานก็ยังคงมีปีติกับสุขเป็นองค์ประกอบสำคัญ
การเกิดปีติระหว่างทำสมาธินั้นช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจให้ชุ่มชื่นและเบิกบาน
ทำให้ผู้ปฏิบัติมีกำลังใจมั่นคง ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายต่ออารมณ์ที่เพ่งอยู่
ถือเป็นเจตสิก (องค์ธรรมประกอบจิต)
ชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้จิตใจแช่มชื่นและเข้มแข็งขึ้นเมื่อเกิดขึ้น
นอกจากนั้น ปีติยังถูกจัดอยู่ในโพชฌงค์ 7 (ธรรมะที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้)
อันหมายถึงปีติเป็นองค์ธรรมที่เกื้อหนุนให้เกิดปัญญาหลุดพ้นด้วย ขณะเดียวกัน
คัมภีร์อภิธรรมได้แยกแยะว่าปีติกับสุขนั้นต่างกัน –
สุขเป็นเวทนาหรือความรู้สึกสบายกายใจ
ส่วนปีติเป็นสังขารขันธ์ที่เกิดขึ้นพร้อมสุขและกระตุ้นให้ใจฟูเบิกบาน อย่างไรก็ตาม
พระพุทธศาสนายังเตือนว่าหากติดยึดหลงใหลในปีติมากเกินไปก็อาจกลายเป็นอุปกิเลส
(เครื่องเศร้าหมอง) ในวิปัสสนาได้ คือเป็น วิปัสสนูปกิเลส อย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ปฏิบัติหลงติดอยู่กับความปีติยินดีจนหยุดความก้าวหน้าในการเจริญปัญญา
ด้วยเหตุนี้ ในกระบวนการพัฒนาจิตใจตามพระพุทธศาสนา
ปีติจึงเป็นได้ทั้งพลังขับเคลื่อนให้เกิดสมาธิและความก้าวหน้า
แต่ผู้ปฏิบัติต้องรู้เท่าทันและไม่ยึดติดเพื่อก้าวต่อไปสู่ความสงบเย็นและปล่อยวาง
(อุเบกขา) ในขั้นสูงต่อไป
ศาสนาคริสต์
สำหรับคริสต์ศาสนา “ความปีติยินดี” ถือเป็นคุณค่าทางจิตวิญญาณที่สำคัญและถูกมองว่าเป็นผลจากการมีความเชื่อและความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า
ผู้เชื่อในพระคริสต์มักจะกล่าวถึง “ความชื่นชมยินดีในพระเจ้า” ซึ่งหมายถึงความสุขลึก ๆ
ภายในที่เกิดจากการได้รู้จักและสัมผัสถึงพระเจ้าผู้เป็นที่รักยิ่งของตน
ในพระคัมภีร์ใหม่ “ความปีติยินดี” ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์
(ผลของจิตฝ่ายพระเจ้า) ที่จะเกิดขึ้นในผู้ศรัทธา เช่น ความรัก ความปีติ ความสงบสุข
เป็นต้น นอกจากนี้ หลายตอนในคัมภีร์ไบเบิลได้เน้นย้ำให้สาวก “ชื่นชมยินดี”
อยู่เสมอไม่ว่าสถานการณ์จะยากลำบากเพียงใด (ตัวอย่างเช่น โรม 12:12 “จงชื่นชมยินดีในความหวัง”)
แนวคิดนี้สะท้อนว่าความปีติในมุมมองคริสเตียนไม่ได้ขึ้นกับปัจจัยภายนอกหรือความสะดวกสบายทางโลก
หากแต่เกิดจากความหวังและความไว้วางใจในพระเจ้า
นักเทววิทยาคริสเตียนยุคแรกอย่าง นักบุญออกัสติน
(St. Augustine) ให้ทัศนะเกี่ยวกับความปีติหรือความสุขไว้อย่างน่าสนใจ
โดยท่านกล่าวว่าความสุขที่แท้จริงของมนุษย์มาจากพระเจ้าเพียงเท่านั้น
เมื่อเทียบกับความสุขจากแหล่งอื่น
ความสุขทางโลกหรือกามคุณทั้งหลายเป็นเพียงความสุขจอมปลอมชั่วคราว หาใช่แก่นแท้ไม่
และหากมนุษย์มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับตนเองแทนที่จะเพ่งใจไว้ที่พระเจ้า
สุดท้ายย่อมเกิดทุกข์มากกว่าสุข ส่วนความปีติแท้จริงจะถูก “ปลดปล่อย”
ออกมาได้ก็ด้วยความเชื่อมั่น (faith) ในพระเจ้า
เพราะมนุษย์ทุกคนมี “ความสุข”
ซ่อนอยู่ภายในตนเองอยู่แล้วเพียงแต่ต้องอาศัยศรัทธานำออกมา
ดังที่ออกัสตินเขียนไว้ว่า “ผู้ใดมีพระเจ้า ผู้นั้นเป็นผู้เปี่ยมสุข” นัยของคำสอนนี้คือ
ความปีติสูงสุดในคริสต์ศาสนาคือการได้เข้าถึงหรือ “พบ” พระเจ้าอย่างแท้จริง
กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ทางจิตวิญญาณ
ผลคือเกิดความปีติยินดีล้นพ้นที่ยั่งยืนและไม่ผันแปรตามโลกภายนอก นอกจากนั้น
พิธีกรรมและการสวดมนต์ภาวนาในคริสต์ศาสนาก็ถูกมองว่าเป็นช่องทางที่ผู้ศรัทธาจะได้สัมผัสความปีติจากพระเจ้า
เช่น การนมัสการและการสวดอ้อนวอนที่ทำให้เกิดสันติสุขและความยินดีในหัวใจ
ศาสนาอิสลาม
ในมุมมองแห่งอิสลาม “ปีติ” หรือความปีติยินดีทางจิตวิญญาณเกิดขึ้นจากการมีศรัทธามั่นในพระเจ้า
(อัลลอฮ์) และการดำเนินชีวิตตามวิถีทางศาสนาอย่างเคร่งครัด
ความปีติชนิดนี้มิใช่ความสนุกสนานฉาบฉวย
แต่เป็นความอิ่มเอิบใจและสงบเย็นที่เกิดจากความใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้า
ผู้ศรัทธามุสลิมเชื่อว่าการปฏิบัติศาสนกิจต่าง ๆ จะนำมาซึ่งความปีติภายในจิตใจ
ตัวอย่างสำคัญคือ การละหมาด (การสวดภาวนา) ซึ่งท่านนบีมุฮัมมัดกล่าวถึงว่า “ความรื่นรมย์ใจของฉันอยู่ในการละหมาด” – นั่นคือการยืนอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของอัลลอฮ์ทำให้ท่านเกิดปีติล้ำลึกในจิตใจ
คำกล่าวนี้ชี้ให้เห็นว่าการน้อมจิตภาวนาและยำเกรงพระเจ้าคือความสุขใจสูงสุดของผู้ศรัทธา
ในช่วงเวลาที่มนุษย์หมอบกราบและตั้งจิตต่ออัลลอฮ์อย่างเต็มเปี่ยม
หัวใจจะสัมผัสได้ถึงความปีติสงบที่เปรียบได้กับการเข้าใกล้ชิดองค์พระผู้เป็นเจ้า
ซึ่งถือเป็นปีติขั้นสูงสุดของมนุษย์และเป็นความเพลิดเพลินทางวิญญาณที่ประเสริฐที่สุด
อีกแนวคิดหนึ่งที่สำคัญในอิสลามคือ “ความหวานชื่นของศรัทธา” (Halawatul Iman) ซึ่งหมายถึงสภาวะที่ผู้ศรัทธาสัมผัสได้ถึงรสชาติแห่งความสุขใจอันลึกซึ้งจากการมีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแน่วแน่
ตามวจนะของท่านนบี ศรัทธาชนผู้ใดที่ยอมรับในอัลลอฮ์เป็นพระผู้เป็นเจ้า
(รับในพระเจ้าอัลลอฮ์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอันสูงสุด) ยอมรับอิสลามเป็นวิถีชีวิต
และยอมรับมุฮัมมัดเป็นศาสนทูต เมื่อนั้นเขาจะได้ “ลิ้มรสความหวานของศรัทธา”
กล่าวคือเกิดปีติสุขทางใจอย่างยิ่ง
ผู้มีศรัทธาเช่นนี้จะรู้สึกปีติแม้ต้องละทิ้งกิเลสหรือความอยากทางโลก เพราะหัวใจเปี่ยมด้วยความรักและยำเกรงในอัลลอฮ์
ดังนั้น ในอิสลาม ความปีติที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การเสพสุขทางโลก
หากแต่อยู่ที่การได้ทำดีตามคำสอน ได้รำลึกถึงพระเจ้า (ผ่านการสวด ซิกร์ และการอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน)
และมีจิตใจผูกพันกับพระองค์ เมื่อดำเนินชีวิตบนทางธรรมเช่นนี้
มุสลิมจะรู้สึกถึงความโปร่งเบาและปีติสุขที่พระเจ้าประทานมา
ซึ่งเป็นความสุขใจที่ยั่งยืนและสูงส่งกว่า
ความเชื่อจึงเป็นรากฐานแห่งปีติและความสงบใจในวิถีอิสลาม
ปรัชญา
ปรัชญาตะวันออก
แนวคิดเรื่อง “ปีติ”
ในปรัชญาตะวันออกมักเกี่ยวพันกับการเข้าถึงสภาวะจิตที่หลุดพ้นจากทุกข์และพบกับความสุขสงบภายใน
ไม่ว่าจะเป็นในสายความคิดของอินเดียหรือจีน ในปรัชญาอินเดียและโยคะ คำว่า “อนันดะ” (Ānanda)
ซึ่งแปลว่า “ความปีติสุข/ความเปี่ยมสุข” เป็นแก่นแนวคิดที่สำคัญ
โดยถือว่าความปีติอันนิรันดร์นี้คือธรรมชาติอันแท้จริงของจักรวาลและชีวิตแต่ละดวงจิต
ตัวอย่างเช่น ในคัมภีร์อุปนิษัทและคติแบบเวทานตะ ได้อธิบายคุณลักษณะของพรหมัน
(สภาวะสูงสุด) ว่าเป็น “สัจ-จิต-อนันทะ” (sat-cit-ānanda) แปลตรงตัวคือ “ความจริง –
ความรู้ – ความปีติสุข”
กล่าวคือภาวะสูงสุดที่สิ่งทั้งหลายปรารถนาจะเข้าถึงนั้นเต็มไปด้วยปีติสุขอันไม่มีที่สิ้นสุด
ผู้ฝึกโยคะและสมาธิภาวนาจึงมีเป้าหมายเพื่อหลอมรวมจิตวิญญาณเข้ากับภาวะสูงสุดดังกล่าว
การหลุดพ้น (โมกษะ) จากวัฏสงสารของความทุกข์ถูกมองว่าเท่ากับการเข้าสู่ภาวะปีติสุขอันสมบูรณ์
เมื่อจิตดับกิเลสสิ้นเชิงและรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความจริงสูงสุดหรือพระเจ้า
ก็จะเกิด “ปีติปราโมทย์” ที่นิรันดร์
สภาวะนี้คือความสุขสงบที่ไม่ขึ้นกับเงื่อนไขทางกายภาพหรือโลกียวิสัยใดๆ
สำหรับปรัชญาจีน แนวคิดเรื่องปีติจะผูกกับการดำเนินชีวิตที่สมดุลกลมกลืนกับคุณธรรมและธรรมชาติ
ขงจื๊อ (Confucius) มองว่ามนุษย์จะพบความสุขใจหรือปีติจากการประพฤติตนมีคุณธรรมและการศึกษาเรียนรู้ตนเอง
ภายในคัมภีร์หลุนหยู่ (Analects) ของขงจื๊อ
บทแรกเริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า “การได้ศึกษาใฝ่รู้และฝึกฝนตนตามที่เรียนรู้อยู่เสมอนั้นมิใช่เป็นเรื่องน่ายินดีดอกหรือ?”
สะท้อนว่าเขาเห็นความสุขหรือปีติอยู่ที่การพัฒนาตนและทำสิ่งดีโดยไม่ต้องการคำชมภายนอก
นอกจากนี้ ขงจื๊อยังสอนไว้ว่าคนที่มีคุณธรรม (จุนจื่อ) ย่อมมีความสุขสงบภายในใจ
แม้จะอยู่อย่างเรียบง่าย
ส่วนคนไร้คุณธรรมถึงแม้ได้เสพสุขทางโลกก็หาความสุขที่แท้จริงไม่เจอ ดังนั้น
ปีติของขงจื๊อจึงคือความอิ่มเอิบใจที่เกิดจากการทำความดีและรักษาคุณธรรม
ในขณะที่ ปรัชญาเต๋า (Taoism) เน้นความสุขที่เกิดจากการดำเนินชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ สอดคล้องกับ “เต๋า”
หรือวิถีแห่งธรรมชาติ เล่าจื๊อ (Lao Tzu) และปราชญ์เต๋าได้สอนให้
“รู้จักพอใจ” กับสิ่งที่ตนมีและละวางความทะยานอยากเกินความจำเป็น
เพื่อแลกกับจิตใจที่สงบและเปี่ยมสุข มีคำกล่าวในคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงตอนหนึ่งว่า “ผู้รู้จักพอย่อมมีความสุข” ซึ่งหมายถึงการไม่โลภไม่ดิ้นรนเกินประมาณจะทำให้จิตใจเราเป็นสุขอยู่เสมอ
คำสอนแนวนี้สอดคล้องกับหลัก “อู๋เหวย” (การไม่ฝืนหรือไม่กระทำการเกินความจำเป็น) ของลัทธิเต๋าที่ว่า
เมื่อมนุษย์ปล่อยวางความฟุ้งเฟ้อซับซ้อนและกลับสู่ความเรียบง่ายตามธรรมชาติ
ก็จะค้นพบความสุขสงบที่แท้จริงได้ ในโลกปัจจุบัน หลักคิดของเต๋าเรื่อง “ความสุขจากความเรียบง่าย” (joy in simplicity) ก็ยังทรงคุณค่า
ตัวอย่างเช่น ใน บทที่ 19 ของเต๋าเต๋อจิง
เล่าจื๊อแนะนำให้ละทิ้งยศศักดิ์และความฟุ้งเฟ้อทั้งหลาย เพื่อผู้คนจะได้ “เป็นสุขขึ้นเป็นร้อยเท่า” และย้ำว่าการไม่ยึดติดกับวัตถุหรือประเพณีจอมปลอมจะช่วยให้มนุษย์มีชีวิตที่กลมกลืนและผาสุก
สรุป ได้ว่า ปีติในปรัชญาตะวันออกไม่ว่าจะสายอินเดียหรือจีน ล้วนเกิดจากการ
ลดละกิเลสและความปรารถนา ลง มีชีวิตอย่างมีคุณธรรมและเรียบง่าย
ซึ่งจะนำไปสู่ความสุขสงบในจิตใจที่ยั่งยืนและลึกซึ้งกว่าการไล่ตามความสนุกชั่วครั้งคราว
ปรัชญาตะวันตก
นักปรัชญาตะวันตกตั้งแต่ยุคโบราณถึงยุคปัจจุบันได้ให้มุมมองเรื่องความสุขหรือปีติไว้อย่างหลากหลาย
ในยุคกรีกโบราณ นักปราชญ์อย่าง เพลโต (Plato) และ
อริสโตเติล (Aristotle) ล้วนเน้นว่าความสุขที่แท้จริงนั้นสัมพันธ์แนบแน่นกับคุณธรรมความดีของตัวบุคคล
โดย เพลโต สืบทอดแนวคิดจากอาจารย์ของเขาคือโสเครตีสว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” – ผู้ที่จะมีความสุขอย่างแท้จริงได้คือผู้กระทำแต่ความดี
ส่วนผู้ทำชั่วย่อมมีแต่ทุกข์ในใจ เขาได้ย้ำผ่านงานเขียน The Republic
ว่าจิตวิญญาณที่มีคุณธรรม (เช่น มีความยุติธรรม)
เท่านั้นจึงจะเกิดสภาวะกลมกลืนภายใน
และความกลมกลืนนั้นเองนำมาซึ่งความสุขปีติของบุคคล ด้าน อริสโตเติล ในยุคถัดมา
ก็เห็นสอดคล้องกันว่า “ความดีคือความสุข” โดยเสนอแนวคิดเรื่อง “ยูไดมอเนีย” (Eudaimonia)
ซึ่งหมายถึงความสุขความเจริญสูงสุดของชีวิตมนุษย์
เขาอธิบายว่าความสุขในความหมายนี้ไม่ใช่ความพึงพอใจช่วงสั้นๆ
จากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง
หากแต่เป็นข้อพิสูจน์ว่าคนผู้นั้นดำรงชีวิตอย่างดีงามสมบูรณ์ตลอดช่วงชีวิต
การจะถือว่าผู้ใดมีความสุขตามแนวคิดอริสโตเติล ผู้นั้นต้องประพฤติตนด้วย ความดีเลิศ
(Arete) ครบถ้วน
และมีปัจจัยภายนอกที่ดีพอควรหนุนเสริม เช่น มีมิตรสหาย ทรัพย์สิน สุขภาพ เกียรติยศ
ฯลฯ อย่างสมดุล และต้องรักษาสภาวะความดีพร้อมนี้ตั้งแต่วัยหนุ่มสาวจนบั้นปลายชีวิต
นอกจากนี้ อริสโตเติลยังยืนยันว่าผู้ปรารถนาจะมีความสุขจำต้องยึดมั่นในคุณธรรมความดีต่าง
ๆ เช่น ความกล้าหาญ ความพอดีประมาณ ความยุติธรรม เป็นต้น
เมื่อทำได้ดังนี้ชีวิตก็จะ “น่าภาคภูมิชื่นชม” และเปี่ยมสุขอย่างแท้จริง
ในสาย ลัทธิสโตอิก (Stoicism)
ซึ่งเป็นปรัชญากรีก-โรมันที่เน้นการดำรงชีวิตตามเหตุผลธรรมชาติ
นักปรัชญาสโตอิก (เช่น เซเนกา เอปิคเทตัส มาร์คุส ออเรลิอุส) ได้กล่าวถึง “ความปีติแบบสโตอิก” ไว้อย่างน่าสนใจ
สโตอิกแบ่งอารมณ์ความรู้สึกออกเป็นสองประเภทคือ “Passions” (กิเลสหรืออารมณ์ขึ้นลงที่ไม่ดี)
และ “Eupatheiai” (อารมณ์ฝ่ายดีที่เกิดจากปัญญา) ซึ่ง “ความปีติยินดี” (chara) จัดเป็นอารมณ์ฝ่ายดีประเภทหนึ่ง
โดยพวกเขานิยามว่าเป็น “ความเบิกบานใจในการได้เห็นความดีงามในตนเองและผู้อื่น” ซึ่งตรงข้ามกับความเพลิดเพลินจากกิเลสตัณหา
กล่าวคือปีติของสโตอิกไม่ใช่ความสำราญทางประสาทสัมผัส
แต่คือความปลื้มปีติสงบเย็นที่เกิดขึ้นเมื่อเราใช้ชีวิตตามคุณธรรมอย่างแท้จริง
นักปรัชญาสติกอย่างดิออเจนิส
ลาเออร์ติอุสบันทึกไว้ว่าอารมณ์ที่ดีอย่างปีติและความร่าเริงเบิกบาน (euphrosynos)
นั้นไม่ใช่คุณธรรมในตัวเอง หากแต่เป็น “ผลพลอยได้”
หรืออาการที่ตามมาจากการมีคุณธรรม เหมือนเป็นเงาตามตัวของจิตใจที่มีปัญญาความดี
ดังนั้น ชีวิตที่ดีตามแบบสโตอิกคือชีวิตที่แม้ภายนอกจะเผชิญอุปสรรคความยากลำบาก
แต่จิตใจยังคงสงบนิ่งและยินดีอยู่ได้เพราะมั่นคงในคุณธรรม กล่าวได้ว่าสำหรับสโตอิก
ปีติที่แท้จริง คือ “ความสุขุมร่าเริง” ของผู้มีปัญญาที่รู้ว่าตนดำเนินชีวิตถูกต้องดีงาม – เป็นสุขจาก ภายใน
ที่เกิดจากความคิดและการกระทำอันเที่ยงธรรม มากกว่าจะหวั่นไหวไปกับสิ่งเร้าภายนอก
ปรัชญาสมัยใหม่สายอัตถิภาวนิยม (Existentialism)
ได้นำเสนอมุมมองเรื่องปีติในทิศทางที่แตกต่างไปจากนักคิดยุคคลาสสิกที่กล่าวมาข้างต้น
โดยนักอัตถิภาวนิยม เช่น ซอเรน เคียร์เคอกอร์, ฟรีดริช
นิทซ์เช่, ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ และอัลแบร์ กามูส์
สนใจประเด็นเรื่อง “ความหมาย” ของชีวิตท่ามกลางโลกที่ปราศจากความหมายสากลตายตัว
แนวคิดหลักของอัตถิภาวนิยมคือ มนุษย์เราเกิดมาโดยไม่มีสารัตถะแก่นแกนใด ๆ
ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (“มีอยู่ก่อนที่จะมีแก่น”) ดังนั้นเราจึงมี เสรีภาพเต็มที่
ที่จะเลือกสร้างความหมายให้ชีวิตของตนเองขึ้นมาใหม่
การเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าโลกนี้ไร้ความหมายโดยตัวมันเองนั้นอาจทำให้เกิดความรู้สึกทุกข์ระทม
สิ้นหวัง หรือวิตกกังวล แต่ขณะเดียวกัน แนวคิดนี้ก็เปิดโอกาสให้มนุษย์ค้นพบ “อิสรภาพ” ในอีกด้านหนึ่ง กล่าวคือ
เมื่อไม่มีความหมายตายตัวให้ยึดถือ เราก็มีอิสระที่จะ กำหนดความหมายและคุณค่า
ให้ชีวิตของเราเอง ซึ่งนั่นสามารถกลายเป็นที่มาของ ความปีติภาคภูมิใจ อย่างลึกซึ้งได้เช่นกัน
นักคิดอย่าง กามูส์ (Camus) เสนอภาพเปรียบเทียบอันโด่งดังของ
“วีรบุรุษซิซีฟัส” ผู้ที่ถูกลงโทษให้กลิ้งหินก้อนใหญ่ขึ้นภูเขาซ้ำ
ๆ ไม่มีวันสิ้นสุด กามูส์กลับท้าทายให้ “จินตนาการว่าซิซีฟัสมีความสุข” ได้ เพราะแม้งานของเขาจะไร้ความหมายเชิงวัตถุ
แต่ซิซีฟัสก็สามารถเลือกที่จะกบฏเชิงจิตใจ กล่าวคือยอมรับชะตากรรมอันไร้จุดหมายนี้และประกาศอิสรภาพของตนด้วยการไม่ย่อท้อต่อมัน
– การท้าทายเช่นนี้ทำให้เขากลายเป็นเจ้าของความหมายชีวิตของตนเอง และนั่นคือ ความสุขของผู้มีเสรีภาพ
ตามทัศนะของกามูส์ พูดอีกอย่างคือ
ความปีติในทัศนะอัตถิภาวนิยมเกิดขึ้นเมื่อปัจเจกบุคคลตระหนักว่า
แม้ชีวิตจะปราศจากความหมายสากล แต่เรายังสามารถสร้างความหมายและคุณค่าใหม่ ๆ
ขึ้นมาเองได้ด้วยเสรีภาพและความรับผิดชอบของเรา ยิ่งไปกว่านั้น
เสรีภาพที่เคยทำให้มนุษย์หวาดกลัวเพราะไร้เครื่องยึดเหนี่ยว (freedom
from meaning) สามารถกลับกลายเป็นเสรีภาพที่ทำให้มนุษย์ฮึกเหิมลุกขึ้นมาสร้างสรรค์ชีวิตของตน
(freedom to act) ได้เช่นกัน ดังที่มีผู้กล่าวไว้ว่า
“เสรีภาพนั้น แม้อาจชวนหวั่นวิตก
แต่ก็สามารถยกระดับจิตใจเราให้ปีติฮึกเหิมขึ้นได้ด้วย”
สรุปได้ว่าในสายอัตถิภาวนิยม ปีติ มิได้มาจากการทำตามบรรทัดฐานสังคมหรือการได้ครอบครองสิ่งของ
หากแต่มาจาก ความ authentic หรือการใช้ชีวิตอย่างแท้จริงตามแบบที่ตนเลือกและยอมรับผลของมันด้วยตนเอง
ซึ่งเป็นปีติที่เกิดจากอิสรภาพและการค้นพบความหมายส่วนตัวของชีวิต
วิทยาศาสตร์
จิตวิทยา
ในทางจิตวิทยา “ปีติ”
ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มอารมณ์บวกขั้นมูลฐานที่ส่งผลดีต่อสุขภาวะจิตใจ
งานด้านจิตวิทยาเชิงบวก (Positive Psychology) ได้ศึกษาอารมณ์บวกอย่างปีติยินดี
ความสุขใจ ความกตัญญู ฯลฯ แล้วพบว่าอารมณ์เหล่านี้ช่วยเสริมสร้าง ความเป็นอยู่ที่ดี
(well-being) และเพิ่มพูนทรัพยากรทางจิตหลายด้าน เช่น
ความเข้มแข็งทางใจและความผูกพันในความสัมพันธ์กับผู้อื่น อารมณ์อย่างปีติช่วย “ขยายและสร้างสรรค์” ตามทฤษฎี broaden-and-build
กล่าวคือเมื่อคนเรามีความรู้สึกปีติแจ่มใส จิตใจจะเปิดกว้าง
ยืดหยุ่น และพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ทำให้สามารถสร้างทักษะใหม่ๆ
และเสริมสัมพันธภาพทางสังคมที่ดีได้ง่ายขึ้น
นักจิตวิทยายังสนใจศึกษา ความแตกต่างระหว่าง
“ปีติ” กับ “ความสุข” ทั่วไป เพราะแม้สองคำนี้มักใช้แทนกันได้ในชีวิตประจำวัน
แต่เชิงวิชาการมีการแยกความหมายไว้พอสมควร โดยทั่วไป “ความสุข”
(happiness) มักหมายถึงสภาวะอารมณ์เชิงบวกที่เกิดขึ้นตามเหตุการณ์หรือสิ่งเร้าภายนอก
เป็นความรู้สึกพึงพอใจที่อาจเกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งคราว เช่น
มีความสุขเมื่อได้ทานอาหารอร่อยหรือได้รับคำชม ในทางตรงกันข้าม “ปีติ” (joy) มักถูกอธิบายว่าเป็นความรู้สึกเชิงบวกที่
ลึกซึ้งและยั่งยืนกว่า ซึ่งเชื่อมโยงกับ ความหมายและคุณค่าในชีวิต และไม่ขึ้นกับเหตุการณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว
นักจิตวิทยาคลินิก Lindsey R. Ackerman ให้นิยามไว้ว่า “ปีติเป็นอารมณ์พื้นฐานอันลึกซึ้งที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลรู้สึกเชื่อมโยงลึกซึ้งในความสัมพันธ์
อยู่บนหนทางที่สอดคล้องกับคุณค่าของตนเอง หรือมีความหมายเป้าหมายในชีวิต” กล่าวคือปีติสัมพันธ์กับความรู้สึกว่า “ชีวิตนี้มีคุณค่า”
และมักมาพร้อมกับความรู้สึกขอบคุณ (gratitude) หรือซาบซึ้ง
แม้บางครั้งจะเกิดท่ามกลางความทุกข์ก็ตาม
นักวิจัยยังพบว่าปีติสามารถดำรงอยู่ร่วมกับอารมณ์อื่น เช่น
รู้สึกเศร้าแต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความปีติหวังใจ (เช่นผู้ที่เสียสละเพื่อผู้อื่นอาจทุกข์กายแต่ปีติใจ)
ในขณะที่ความสุขมักเป็นอารมณ์ด้านบวกที่ชัดเจนตรงไปตรงมา เมื่อมองในแง่กลไก ความสุข
มักเกิดขึ้นแบบฉับพลันตามจังหวะเวลาและสถานที่ที่พอเหมาะ เช่น
ดีใจเมื่อบรรลุเป้าหมายหรือได้รับของรางวัล ในทางตรงกันข้าม ความปีติ มาจากความพึงพอใจภายในที่ต่อเนื่องยาวนานกว่า
เกิดจากความสัมพันธ์หรือประสบการณ์ชีวิตที่มีความหมาย เช่น การเลี้ยงดูลูก
การทุ่มเททำงานที่รัก การเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่มีคุณค่า สรุปได้ว่า ความสุข
เปรียบเหมือนความรื่นรมย์ชั่วครั้งคราว ส่วน ปีติ เปรียบเหมือนความอิ่มเอิบลึก
ๆ ที่ฝังอยู่ในใจคนเราจากการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและเป้าหมาย
ยิ่งไปกว่านั้น นักจิตวิทยาบางสำนักเสนอว่าปีติเป็นดัชนีหนึ่งของ
“ชีวิตที่มีความหมาย” (meaningful life) โดยพบว่าคนที่รู้สึกว่าชีวิตตนมีความหมายมักจะรายงานว่าตนเองมีความปีติเพลิดเพลินกับชีวิตในระดับที่ลึกซึ้ง
ไม่ใช่แค่ความสนุกสนานชั่วครั้งคราว นั่นสอดคล้องกับแนวคิดของ Viktor
Frankl (ผู้เขียน Man’s Search for Meaning) ที่ว่า
การค้นพบความหมายในชีวิตทำให้มนุษย์สามารถมองข้ามความทุกข์ยากและยังคงพบความชื่นชมยินดีในชีวิตได้
สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า “Joy is the ability to affirm the goodness
of life even in the midst of sorrow” – ความปีติคือความสามารถที่จะยืนยันรับรู้อภิรมย์ในความดีงามของชีวิตได้
แม้ท่ามกลางความทุกข์โศก โดยสรุปในมุมมองจิตวิทยา ปีติ เป็นอารมณ์เชิงบวกที่มีคุณภาพเฉพาะ
– คือฝังรากลึกในความสัมพันธ์ที่ดี ความกตัญญู และความหมายของชีวิต
ส่งผลดีต่อสุขภาพจิตมากกว่าความสุขฉาบฉวย
ทั้งยังเป็นแรงขับให้มนุษย์สร้างสรรค์ชีวิตที่มีคุณค่าและยืนหยัดในยามเผชิญปัญหาได้ดียิ่งขึ้น
ประสาทวิทยา
ทางด้านประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscience)
มีการศึกษาว่า “ปีติ” และอารมณ์เชิงบวกทั้งหลายสัมพันธ์กับการทำงานของสมองและสารสื่อประสาทอย่างไร
งานวิจัยพบว่าสารเคมีในสมองบางชนิดมีบทบาทสำคัญต่อความรู้สึกสุขปีติของเรา
สารสื่อประสาทหลักที่มักกล่าวถึงคือ โดพามีน (Dopamine) และ เซโรโทนิน (Serotonin) โดยทั้งสองเกี่ยวข้องกับระบบ
“รางวัล” และการสร้างอารมณ์เชิงบวกในสมอง
- โดพามีน มักถูกเรียกว่า “สารแห่งความสุข” เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความรู้สึกสุขใจเมื่อเราได้รับรางวัลหรือพบเจอสิ่งพึงพอใจ
สมองจะหลั่งโดพามีนในระบบประสาทบริเวณศูนย์การให้รางวัล (reward
center) เช่น ส่วน nucleus accumbens ทำให้เรารู้สึกดีใจตื่นเต้นชั่วขณะ
คล้ายเวลาที่ประสบความสำเร็จหรือได้รับสิ่งที่ต้องการ
งานวิจัยชี้ว่าเมื่อโดพามีนถูกหลั่งออกมา เราจะรู้สึกสุขสำราญแบบฉับพลันแต่ชั่วครู่
สมองจะจำเหตุการณ์นั้นว่าให้ความสุขและกระตุ้นให้เราอยากทำสิ่งนั้นอีก
(กลไกการเสริมแรง)
- เซโรโทนิน เป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์และความรู้สึกสงบ
ผ่อนคลาย ระดับเซโรโทนินที่เหมาะสมมีส่วนช่วยให้คนเรารู้สึกสงบเยือกเย็น
มองโลกในแง่ดี และมีความพึงพอใจในชีวิตอย่างต่อเนื่อง
แตกต่างจากโดพามีนที่ให้ความรู้สึกวูบวาบ เซโรโทนินเปรียบเสมือน “สารแห่งความอิ่มเอมใจ” ที่สร้าง ความสุขสงบยืนยาว
มากกว่า ผู้ที่มีระดับเซโรโทนินสมดุลมักจะอารมณ์ดีคงที่
ไม่หงุดหงิดหรือซึมเศร้าง่าย กิจกรรมบางอย่างเช่นการออกกำลังกาย การทำสมาธิ
การได้รับแสงแดดพอเหมาะ ล้วนช่วยกระตุ้นการหลั่งเซโรโทนินได้ ในแง่นี้
เซโรโทนินเป็นดั่งฐานของความรู้สึกปีติสุขสงบในระยะยาว
ขณะที่โดพามีนเป็นตัวสร้างความดีใจพุ่งพล่านระยะสั้น
ทั้งสองอย่างมีความสำคัญและเกื้อหนุนกันในการทำให้เรารู้สึกเป็นสุขโดยสมบูรณ์
การศึกษาพบว่าการแสดงความกตัญญูหรือการคิดถึงสิ่งที่เราขอบคุณในชีวิต
สามารถกระตุ้นให้สมองหลั่งทั้งโดพามีนและเซโรโทนินพร้อมกัน
ส่งผลให้เรารู้สึกดีใจและอิ่มใจไปพร้อม ๆ กัน ยกตัวอย่างเช่น มีผู้กล่าวว่า “การเขียนบันทึกเรื่องที่รู้สึกขอบคุณแต่ละวัน
จะกระตุ้นการหลั่งสารสุขในสมอง” ซึ่งอธิบายได้ว่าขณะเขียนนั้นเราจะรู้สึกใจฟู
(โดพามีนหลั่ง) และต่อเนื่องไปเกิดความอิ่มเอิบใจสงบสุข (เซโรโทนินหลั่ง)
นอกจากบทบาทของโดพามีนและเซโรโทนินแล้ว
ประสาทวิทยายังพบว่า การประสบ “ความสุข” จากสิ่งเร้าภายนอกกับ “ความปีติ”
จากแรงจูงใจภายในมีวงจรสมองที่เกี่ยวข้องต่างกัน การทดลองเผยว่าเมื่อคนเรามีความสุขจากรางวัลภายนอก
สมองส่วนศูนย์การให้รางวัลและวงจรโดพามีนจะทำงานโดดเด่น (เช่น
เวลากินของหวานอร่อยหรือได้รับเงินรางวัล วงจรนี้จะ active) แต่ในทางกลับกัน
เมื่อคนเรารู้สึกปีติจากการทำสิ่งที่มีคุณค่าเชิงจิตใจ เช่น การทำความดี
การปฏิบัติศาสนา หรือการทำงานศิลปะที่รัก สมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับ การควบคุมอารมณ์และการสร้างแรงจูงใจจากภายใน
จะทำงานมากขึ้น เช่น บริเวณ prefrontal cortex และ anterior
cingulate cortex ที่ช่วยในการยับยั้งชั่งใจและประมวลความหมายคุณค่าของประสบการณ์จะมีบทบาทเด่น
นักวิจัยอย่าง Ackerman อธิบายว่า “ความสุขที่เกิดจากสิ่งเร้าภายนอกจะกระตุ้นระบบการให้รางวัลของสมอง
และสัมพันธ์กับการหลั่งโดพามีน
ในขณะที่ปีติที่เกิดจากแรงจูงใจภายในสัมพันธ์กับส่วนของสมองที่เกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์” นั่นหมายความว่า
ปีติอาจเป็นผลลัพธ์ของการที่สมองส่วนรางวัลและส่วนควบคุมทำงานประสานกันอย่างสมดุล
– เราได้รับทั้งความตื่นเต้นจากโดพามีนและความอิ่มใจสงบจากเซโรโทนินและการควบคุมอารมณ์
เป็นความสุขเชิงบวกที่ครบถ้วนทั้งด้านเร้าใจและด้านสงบเย็น
นอกจากนี้
การศึกษาทางประสาทวิทยาสมัยใหม่อย่างเช่นการสแกนสมอง fMRI พบว่าเมื่อคนเรามีความสุขหรือปีติ
สมองจะหลั่งสารอื่นๆ ที่ช่วยส่งเสริมอารมณ์ดีด้วย เช่น เอ็นดอร์ฟิน (Endorphins)
ซึ่งเป็นสารระงับปวดตามธรรมชาติและสร้างความรู้สึกเคลิบเคลิ้มผ่อนคลาย
หรือ ออกซิโทซิน (Oxytocin) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความผูกพันและความไว้วางใจในความสัมพันธ์
(จึงถูกเรียกว่า “ฮอร์โมนแห่งความรัก”) สารเหล่านี้ทำงานร่วมกันเป็นเครือข่าย
ช่วยยืนยันว่าความปีติสุขไม่ใช่เรื่องลี้ลับเกินเข้าใจ
หากแต่สอดคล้องกับกระบวนการทางกายภาพในร่างกายมนุษย์
โดยสรุป ในมุมมองวิทยาศาสตร์
ประสบการณ์ “ปีติ” คือผลลัพธ์ของการทำงานร่วมกันของระบบประสาทและสารเคมีในสมองหลายชนิด
โดพามีนทำให้เกิดความดีใจฮึกเหิม เซโรโทนินสร้างความสุขสงบระยะยาว
ส่วนอวัยวะสมองต่าง ๆ ก็บูรณาการข้อมูลเกี่ยวกับรางวัล ความหมาย
และการควบคุมอารมณ์ จนก่อให้เกิดความรู้สึกปีติอย่างที่เรารับรู้
การทำความเข้าใจกระบวนการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้เราเห็นภาพกลไกของความสุขปีติ
แต่ยังนำไปสู่คำแนะนำในทางปฏิบัติ เช่น การออกกำลังเป็นประจำ การทำสมาธิ
การฝึกขอบคุณสิ่งดี ๆ ในชีวิต ล้วนเป็นวิธีที่วิทยาศาสตร์พบว่าสามารถกระตุ้นสารเคมีแห่งความสุขและทำให้เรามีความปีติมากขึ้นในชีวิตประจำวันได้
แหล่งที่มา: ปีติในพระพุทธศาสนา;
ความปีติในคริสต์ศาสนาตามแนวคิดนักบุญออกัสติน; ปีติจากการละหมาดและความใกล้ชิดพระเจ้าในอิสลาม; แนวคิดความสุขของเพลโตและอริสโตเติล;
ความปีติแบบสโตอิก; ความปีติในมุมมองอัตถิภาวนิยม;
คำอธิบายเชิงจิตวิทยาของ Joy vs. Happiness; บทบาทของโดพามีนและเซโรโทนินต่อความสุขปีติ
เป็นต้น