วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ปีติ

ปีติ

ปีติ (Pīti) หมายถึงความอิ่มเอิบปลาบปลื้มในจิตใจหรือความดื่มด่ำใจอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นสภาวะทางอารมณ์เชิงบวกที่มนุษย์ทุกยุคสมัยมุ่งแสวงหา ไม่ว่าจะในบริบททางศาสนา ปรัชญา หรือทางวิทยาศาสตร์ ปีติถูกมองว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเติมเต็มชีวิตให้มีความหมายและความสุขอย่างแท้จริง บทความนี้จะแบ่งการสำรวจ “ปีติ” ออกเป็นสามมิติหลัก ได้แก่ ศาสนา (มุมมองของปีติในศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม), ปรัชญา (แนวคิดเรื่องปีติในปรัชญาตะวันออกและตะวันตก) และ วิทยาศาสตร์ (การอธิบายปีติในเชิงจิตวิทยาและประสาทวิทยาศาสตร์) เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนของความหมายและบทบาทของปีติในแขนงความรู้ต่าง ๆ

 

ศาสนา

พุทธศาสนา

ในทางพระพุทธศาสนา “ปีติ” มีความหมายถึงความเอิบอิ่มใจอย่างแรงกล้าและเป็นองค์ธรรมสำคัญในการปฏิบัติสมาธิภาวนา โดยปีติจัดเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของฌาน (ภาวะจิตที่ตั้งมั่นแน่วแน่) เช่น ในปฐมฌานจะเกิดปีตร่วมกับสุขและองค์ธรรมอื่น ๆ และในทุติยฌานก็ยังคงมีปีติกับสุขเป็นองค์ประกอบสำคัญ การเกิดปีติระหว่างทำสมาธินั้นช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจให้ชุ่มชื่นและเบิกบาน ทำให้ผู้ปฏิบัติมีกำลังใจมั่นคง ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายต่ออารมณ์ที่เพ่งอยู่ ถือเป็นเจตสิก (องค์ธรรมประกอบจิต) ชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้จิตใจแช่มชื่นและเข้มแข็งขึ้นเมื่อเกิดขึ้น นอกจากนั้น ปีติยังถูกจัดอยู่ในโพชฌงค์ 7 (ธรรมะที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้) อันหมายถึงปีติเป็นองค์ธรรมที่เกื้อหนุนให้เกิดปัญญาหลุดพ้นด้วย ขณะเดียวกัน คัมภีร์อภิธรรมได้แยกแยะว่าปีติกับสุขนั้นต่างกัน – สุขเป็นเวทนาหรือความรู้สึกสบายกายใจ ส่วนปีติเป็นสังขารขันธ์ที่เกิดขึ้นพร้อมสุขและกระตุ้นให้ใจฟูเบิกบาน อย่างไรก็ตาม พระพุทธศาสนายังเตือนว่าหากติดยึดหลงใหลในปีติมากเกินไปก็อาจกลายเป็นอุปกิเลส (เครื่องเศร้าหมอง) ในวิปัสสนาได้ คือเป็น วิปัสสนูปกิเลส อย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ปฏิบัติหลงติดอยู่กับความปีติยินดีจนหยุดความก้าวหน้าในการเจริญปัญญา ด้วยเหตุนี้ ในกระบวนการพัฒนาจิตใจตามพระพุทธศาสนา ปีติจึงเป็นได้ทั้งพลังขับเคลื่อนให้เกิดสมาธิและความก้าวหน้า แต่ผู้ปฏิบัติต้องรู้เท่าทันและไม่ยึดติดเพื่อก้าวต่อไปสู่ความสงบเย็นและปล่อยวาง (อุเบกขา) ในขั้นสูงต่อไป

ศาสนาคริสต์

สำหรับคริสต์ศาสนา ความปีติยินดี” ถือเป็นคุณค่าทางจิตวิญญาณที่สำคัญและถูกมองว่าเป็นผลจากการมีความเชื่อและความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า ผู้เชื่อในพระคริสต์มักจะกล่าวถึง ความชื่นชมยินดีในพระเจ้า” ซึ่งหมายถึงความสุขลึก ๆ ภายในที่เกิดจากการได้รู้จักและสัมผัสถึงพระเจ้าผู้เป็นที่รักยิ่งของตน ในพระคัมภีร์ใหม่ “ความปีติยินดี” ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ผลของจิตฝ่ายพระเจ้า) ที่จะเกิดขึ้นในผู้ศรัทธา เช่น ความรัก ความปีติ ความสงบสุข เป็นต้น นอกจากนี้ หลายตอนในคัมภีร์ไบเบิลได้เน้นย้ำให้สาวก “ชื่นชมยินดี” อยู่เสมอไม่ว่าสถานการณ์จะยากลำบากเพียงใด (ตัวอย่างเช่น โรม 12:12 “จงชื่นชมยินดีในความหวัง”) แนวคิดนี้สะท้อนว่าความปีติในมุมมองคริสเตียนไม่ได้ขึ้นกับปัจจัยภายนอกหรือความสะดวกสบายทางโลก หากแต่เกิดจากความหวังและความไว้วางใจในพระเจ้า

นักเทววิทยาคริสเตียนยุคแรกอย่าง นักบุญออกัสติน (St. Augustine) ให้ทัศนะเกี่ยวกับความปีติหรือความสุขไว้อย่างน่าสนใจ โดยท่านกล่าวว่าความสุขที่แท้จริงของมนุษย์มาจากพระเจ้าเพียงเท่านั้น เมื่อเทียบกับความสุขจากแหล่งอื่น ความสุขทางโลกหรือกามคุณทั้งหลายเป็นเพียงความสุขจอมปลอมชั่วคราว หาใช่แก่นแท้ไม่ และหากมนุษย์มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับตนเองแทนที่จะเพ่งใจไว้ที่พระเจ้า สุดท้ายย่อมเกิดทุกข์มากกว่าสุข ส่วนความปีติแท้จริงจะถูก “ปลดปล่อย” ออกมาได้ก็ด้วยความเชื่อมั่น (faith) ในพระเจ้า เพราะมนุษย์ทุกคนมี “ความสุข” ซ่อนอยู่ภายในตนเองอยู่แล้วเพียงแต่ต้องอาศัยศรัทธานำออกมา ดังที่ออกัสตินเขียนไว้ว่า “ผู้ใดมีพระเจ้า ผู้นั้นเป็นผู้เปี่ยมสุข” นัยของคำสอนนี้คือ ความปีติสูงสุดในคริสต์ศาสนาคือการได้เข้าถึงหรือ “พบ” พระเจ้าอย่างแท้จริง กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ทางจิตวิญญาณ ผลคือเกิดความปีติยินดีล้นพ้นที่ยั่งยืนและไม่ผันแปรตามโลกภายนอก นอกจากนั้น พิธีกรรมและการสวดมนต์ภาวนาในคริสต์ศาสนาก็ถูกมองว่าเป็นช่องทางที่ผู้ศรัทธาจะได้สัมผัสความปีติจากพระเจ้า เช่น การนมัสการและการสวดอ้อนวอนที่ทำให้เกิดสันติสุขและความยินดีในหัวใจ

ศาสนาอิสลาม

ในมุมมองแห่งอิสลาม ปีติ” หรือความปีติยินดีทางจิตวิญญาณเกิดขึ้นจากการมีศรัทธามั่นในพระเจ้า (อัลลอฮ์) และการดำเนินชีวิตตามวิถีทางศาสนาอย่างเคร่งครัด ความปีติชนิดนี้มิใช่ความสนุกสนานฉาบฉวย แต่เป็นความอิ่มเอิบใจและสงบเย็นที่เกิดจากความใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้า ผู้ศรัทธามุสลิมเชื่อว่าการปฏิบัติศาสนกิจต่าง ๆ จะนำมาซึ่งความปีติภายในจิตใจ ตัวอย่างสำคัญคือ การละหมาด (การสวดภาวนา) ซึ่งท่านนบีมุฮัมมัดกล่าวถึงว่า ความรื่นรมย์ใจของฉันอยู่ในการละหมาด”นั่นคือการยืนอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของอัลลอฮ์ทำให้ท่านเกิดปีติล้ำลึกในจิตใจ คำกล่าวนี้ชี้ให้เห็นว่าการน้อมจิตภาวนาและยำเกรงพระเจ้าคือความสุขใจสูงสุดของผู้ศรัทธา ในช่วงเวลาที่มนุษย์หมอบกราบและตั้งจิตต่ออัลลอฮ์อย่างเต็มเปี่ยม หัวใจจะสัมผัสได้ถึงความปีติสงบที่เปรียบได้กับการเข้าใกล้ชิดองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งถือเป็นปีติขั้นสูงสุดของมนุษย์และเป็นความเพลิดเพลินทางวิญญาณที่ประเสริฐที่สุด

อีกแนวคิดหนึ่งที่สำคัญในอิสลามคือ ความหวานชื่นของศรัทธา” (Halawatul Iman) ซึ่งหมายถึงสภาวะที่ผู้ศรัทธาสัมผัสได้ถึงรสชาติแห่งความสุขใจอันลึกซึ้งจากการมีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแน่วแน่ ตามวจนะของท่านนบี ศรัทธาชนผู้ใดที่ยอมรับในอัลลอฮ์เป็นพระผู้เป็นเจ้า (รับในพระเจ้าอัลลอฮ์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอันสูงสุด) ยอมรับอิสลามเป็นวิถีชีวิต และยอมรับมุฮัมมัดเป็นศาสนทูต เมื่อนั้นเขาจะได้ “ลิ้มรสความหวานของศรัทธา” กล่าวคือเกิดปีติสุขทางใจอย่างยิ่ง ผู้มีศรัทธาเช่นนี้จะรู้สึกปีติแม้ต้องละทิ้งกิเลสหรือความอยากทางโลก เพราะหัวใจเปี่ยมด้วยความรักและยำเกรงในอัลลอฮ์ ดังนั้น ในอิสลาม ความปีติที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การเสพสุขทางโลก หากแต่อยู่ที่การได้ทำดีตามคำสอน ได้รำลึกถึงพระเจ้า (ผ่านการสวด ซิกร์ และการอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน) และมีจิตใจผูกพันกับพระองค์ เมื่อดำเนินชีวิตบนทางธรรมเช่นนี้ มุสลิมจะรู้สึกถึงความโปร่งเบาและปีติสุขที่พระเจ้าประทานมา ซึ่งเป็นความสุขใจที่ยั่งยืนและสูงส่งกว่า ความเชื่อจึงเป็นรากฐานแห่งปีติและความสงบใจในวิถีอิสลาม

 

ปรัชญา

ปรัชญาตะวันออก

แนวคิดเรื่อง “ปีติ” ในปรัชญาตะวันออกมักเกี่ยวพันกับการเข้าถึงสภาวะจิตที่หลุดพ้นจากทุกข์และพบกับความสุขสงบภายใน ไม่ว่าจะเป็นในสายความคิดของอินเดียหรือจีน ในปรัชญาอินเดียและโยคะ คำว่า อนันดะ” (Ānanda) ซึ่งแปลว่า “ความปีติสุข/ความเปี่ยมสุข” เป็นแก่นแนวคิดที่สำคัญ โดยถือว่าความปีติอันนิรันดร์นี้คือธรรมชาติอันแท้จริงของจักรวาลและชีวิตแต่ละดวงจิต ตัวอย่างเช่น ในคัมภีร์อุปนิษัทและคติแบบเวทานตะ ได้อธิบายคุณลักษณะของพรหมัน (สภาวะสูงสุด) ว่าเป็น “สัจ-จิต-อนันทะ” (sat-cit-ānanda) แปลตรงตัวคือ “ความจริง – ความรู้ – ความปีติสุข” กล่าวคือภาวะสูงสุดที่สิ่งทั้งหลายปรารถนาจะเข้าถึงนั้นเต็มไปด้วยปีติสุขอันไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ฝึกโยคะและสมาธิภาวนาจึงมีเป้าหมายเพื่อหลอมรวมจิตวิญญาณเข้ากับภาวะสูงสุดดังกล่าว การหลุดพ้น (โมกษะ) จากวัฏสงสารของความทุกข์ถูกมองว่าเท่ากับการเข้าสู่ภาวะปีติสุขอันสมบูรณ์ เมื่อจิตดับกิเลสสิ้นเชิงและรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความจริงสูงสุดหรือพระเจ้า ก็จะเกิด “ปีติปราโมทย์” ที่นิรันดร์ สภาวะนี้คือความสุขสงบที่ไม่ขึ้นกับเงื่อนไขทางกายภาพหรือโลกียวิสัยใดๆ

สำหรับปรัชญาจีน แนวคิดเรื่องปีติจะผูกกับการดำเนินชีวิตที่สมดุลกลมกลืนกับคุณธรรมและธรรมชาติ ขงจื๊อ (Confucius) มองว่ามนุษย์จะพบความสุขใจหรือปีติจากการประพฤติตนมีคุณธรรมและการศึกษาเรียนรู้ตนเอง ภายในคัมภีร์หลุนหยู่ (Analects) ของขงจื๊อ บทแรกเริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า การได้ศึกษาใฝ่รู้และฝึกฝนตนตามที่เรียนรู้อยู่เสมอนั้นมิใช่เป็นเรื่องน่ายินดีดอกหรือ?” สะท้อนว่าเขาเห็นความสุขหรือปีติอยู่ที่การพัฒนาตนและทำสิ่งดีโดยไม่ต้องการคำชมภายนอก นอกจากนี้ ขงจื๊อยังสอนไว้ว่าคนที่มีคุณธรรม (จุนจื่อ) ย่อมมีความสุขสงบภายในใจ แม้จะอยู่อย่างเรียบง่าย ส่วนคนไร้คุณธรรมถึงแม้ได้เสพสุขทางโลกก็หาความสุขที่แท้จริงไม่เจอ ดังนั้น ปีติของขงจื๊อจึงคือความอิ่มเอิบใจที่เกิดจากการทำความดีและรักษาคุณธรรม

ในขณะที่ ปรัชญาเต๋า (Taoism) เน้นความสุขที่เกิดจากการดำเนินชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ สอดคล้องกับ “เต๋า” หรือวิถีแห่งธรรมชาติ เล่าจื๊อ (Lao Tzu) และปราชญ์เต๋าได้สอนให้ รู้จักพอใจ” กับสิ่งที่ตนมีและละวางความทะยานอยากเกินความจำเป็น เพื่อแลกกับจิตใจที่สงบและเปี่ยมสุข มีคำกล่าวในคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงตอนหนึ่งว่า ผู้รู้จักพอย่อมมีความสุข” ซึ่งหมายถึงการไม่โลภไม่ดิ้นรนเกินประมาณจะทำให้จิตใจเราเป็นสุขอยู่เสมอ คำสอนแนวนี้สอดคล้องกับหลัก อู๋เหวย” (การไม่ฝืนหรือไม่กระทำการเกินความจำเป็น) ของลัทธิเต๋าที่ว่า เมื่อมนุษย์ปล่อยวางความฟุ้งเฟ้อซับซ้อนและกลับสู่ความเรียบง่ายตามธรรมชาติ ก็จะค้นพบความสุขสงบที่แท้จริงได้ ในโลกปัจจุบัน หลักคิดของเต๋าเรื่อง ความสุขจากความเรียบง่าย” (joy in simplicity) ก็ยังทรงคุณค่า ตัวอย่างเช่น ใน บทที่ 19 ของเต๋าเต๋อจิง เล่าจื๊อแนะนำให้ละทิ้งยศศักดิ์และความฟุ้งเฟ้อทั้งหลาย เพื่อผู้คนจะได้ เป็นสุขขึ้นเป็นร้อยเท่า” และย้ำว่าการไม่ยึดติดกับวัตถุหรือประเพณีจอมปลอมจะช่วยให้มนุษย์มีชีวิตที่กลมกลืนและผาสุก สรุป ได้ว่า ปีติในปรัชญาตะวันออกไม่ว่าจะสายอินเดียหรือจีน ล้วนเกิดจากการ ลดละกิเลสและความปรารถนา ลง มีชีวิตอย่างมีคุณธรรมและเรียบง่าย ซึ่งจะนำไปสู่ความสุขสงบในจิตใจที่ยั่งยืนและลึกซึ้งกว่าการไล่ตามความสนุกชั่วครั้งคราว

ปรัชญาตะวันตก

นักปรัชญาตะวันตกตั้งแต่ยุคโบราณถึงยุคปัจจุบันได้ให้มุมมองเรื่องความสุขหรือปีติไว้อย่างหลากหลาย ในยุคกรีกโบราณ นักปราชญ์อย่าง เพลโต (Plato) และ อริสโตเติล (Aristotle) ล้วนเน้นว่าความสุขที่แท้จริงนั้นสัมพันธ์แนบแน่นกับคุณธรรมความดีของตัวบุคคล โดย เพลโต สืบทอดแนวคิดจากอาจารย์ของเขาคือโสเครตีสว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”ผู้ที่จะมีความสุขอย่างแท้จริงได้คือผู้กระทำแต่ความดี ส่วนผู้ทำชั่วย่อมมีแต่ทุกข์ในใจ เขาได้ย้ำผ่านงานเขียน The Republic ว่าจิตวิญญาณที่มีคุณธรรม (เช่น มีความยุติธรรม) เท่านั้นจึงจะเกิดสภาวะกลมกลืนภายใน และความกลมกลืนนั้นเองนำมาซึ่งความสุขปีติของบุคคล ด้าน อริสโตเติล ในยุคถัดมา ก็เห็นสอดคล้องกันว่า ความดีคือความสุข” โดยเสนอแนวคิดเรื่อง ยูไดมอเนีย” (Eudaimonia) ซึ่งหมายถึงความสุขความเจริญสูงสุดของชีวิตมนุษย์ เขาอธิบายว่าความสุขในความหมายนี้ไม่ใช่ความพึงพอใจช่วงสั้นๆ จากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง หากแต่เป็นข้อพิสูจน์ว่าคนผู้นั้นดำรงชีวิตอย่างดีงามสมบูรณ์ตลอดช่วงชีวิต การจะถือว่าผู้ใดมีความสุขตามแนวคิดอริสโตเติล ผู้นั้นต้องประพฤติตนด้วย ความดีเลิศ (Arete) ครบถ้วน และมีปัจจัยภายนอกที่ดีพอควรหนุนเสริม เช่น มีมิตรสหาย ทรัพย์สิน สุขภาพ เกียรติยศ ฯลฯ อย่างสมดุล และต้องรักษาสภาวะความดีพร้อมนี้ตั้งแต่วัยหนุ่มสาวจนบั้นปลายชีวิต นอกจากนี้ อริสโตเติลยังยืนยันว่าผู้ปรารถนาจะมีความสุขจำต้องยึดมั่นในคุณธรรมความดีต่าง ๆ เช่น ความกล้าหาญ ความพอดีประมาณ ความยุติธรรม เป็นต้น เมื่อทำได้ดังนี้ชีวิตก็จะ “น่าภาคภูมิชื่นชม” และเปี่ยมสุขอย่างแท้จริง

ในสาย ลัทธิสโตอิก (Stoicism) ซึ่งเป็นปรัชญากรีก-โรมันที่เน้นการดำรงชีวิตตามเหตุผลธรรมชาติ นักปรัชญาสโตอิก (เช่น เซเนกา เอปิคเทตัส มาร์คุส ออเรลิอุส) ได้กล่าวถึง ความปีติแบบสโตอิก” ไว้อย่างน่าสนใจ สโตอิกแบ่งอารมณ์ความรู้สึกออกเป็นสองประเภทคือ “Passions” (กิเลสหรืออารมณ์ขึ้นลงที่ไม่ดี) และ “Eupatheiai” (อารมณ์ฝ่ายดีที่เกิดจากปัญญา) ซึ่ง ความปีติยินดี” (chara) จัดเป็นอารมณ์ฝ่ายดีประเภทหนึ่ง โดยพวกเขานิยามว่าเป็น ความเบิกบานใจในการได้เห็นความดีงามในตนเองและผู้อื่น” ซึ่งตรงข้ามกับความเพลิดเพลินจากกิเลสตัณหา กล่าวคือปีติของสโตอิกไม่ใช่ความสำราญทางประสาทสัมผัส แต่คือความปลื้มปีติสงบเย็นที่เกิดขึ้นเมื่อเราใช้ชีวิตตามคุณธรรมอย่างแท้จริง นักปรัชญาสติกอย่างดิออเจนิส ลาเออร์ติอุสบันทึกไว้ว่าอารมณ์ที่ดีอย่างปีติและความร่าเริงเบิกบาน (euphrosynos) นั้นไม่ใช่คุณธรรมในตัวเอง หากแต่เป็น “ผลพลอยได้” หรืออาการที่ตามมาจากการมีคุณธรรม เหมือนเป็นเงาตามตัวของจิตใจที่มีปัญญาความดี ดังนั้น ชีวิตที่ดีตามแบบสโตอิกคือชีวิตที่แม้ภายนอกจะเผชิญอุปสรรคความยากลำบาก แต่จิตใจยังคงสงบนิ่งและยินดีอยู่ได้เพราะมั่นคงในคุณธรรม กล่าวได้ว่าสำหรับสโตอิก ปีติที่แท้จริง คือ ความสุขุมร่าเริง” ของผู้มีปัญญาที่รู้ว่าตนดำเนินชีวิตถูกต้องดีงาม – เป็นสุขจาก ภายใน ที่เกิดจากความคิดและการกระทำอันเที่ยงธรรม มากกว่าจะหวั่นไหวไปกับสิ่งเร้าภายนอก

ปรัชญาสมัยใหม่สายอัตถิภาวนิยม (Existentialism) ได้นำเสนอมุมมองเรื่องปีติในทิศทางที่แตกต่างไปจากนักคิดยุคคลาสสิกที่กล่าวมาข้างต้น โดยนักอัตถิภาวนิยม เช่น ซอเรน เคียร์เคอกอร์, ฟรีดริช นิทซ์เช่, ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ และอัลแบร์ กามูส์ สนใจประเด็นเรื่อง ความหมาย” ของชีวิตท่ามกลางโลกที่ปราศจากความหมายสากลตายตัว แนวคิดหลักของอัตถิภาวนิยมคือ มนุษย์เราเกิดมาโดยไม่มีสารัตถะแก่นแกนใด ๆ ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (“มีอยู่ก่อนที่จะมีแก่น”) ดังนั้นเราจึงมี เสรีภาพเต็มที่ ที่จะเลือกสร้างความหมายให้ชีวิตของตนเองขึ้นมาใหม่ การเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าโลกนี้ไร้ความหมายโดยตัวมันเองนั้นอาจทำให้เกิดความรู้สึกทุกข์ระทม สิ้นหวัง หรือวิตกกังวล แต่ขณะเดียวกัน แนวคิดนี้ก็เปิดโอกาสให้มนุษย์ค้นพบ อิสรภาพ” ในอีกด้านหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อไม่มีความหมายตายตัวให้ยึดถือ เราก็มีอิสระที่จะ กำหนดความหมายและคุณค่า ให้ชีวิตของเราเอง ซึ่งนั่นสามารถกลายเป็นที่มาของ ความปีติภาคภูมิใจ อย่างลึกซึ้งได้เช่นกัน นักคิดอย่าง กามูส์ (Camus) เสนอภาพเปรียบเทียบอันโด่งดังของ วีรบุรุษซิซีฟัส” ผู้ที่ถูกลงโทษให้กลิ้งหินก้อนใหญ่ขึ้นภูเขาซ้ำ ๆ ไม่มีวันสิ้นสุด กามูส์กลับท้าทายให้ จินตนาการว่าซิซีฟัสมีความสุข” ได้ เพราะแม้งานของเขาจะไร้ความหมายเชิงวัตถุ แต่ซิซีฟัสก็สามารถเลือกที่จะกบฏเชิงจิตใจ กล่าวคือยอมรับชะตากรรมอันไร้จุดหมายนี้และประกาศอิสรภาพของตนด้วยการไม่ย่อท้อต่อมัน – การท้าทายเช่นนี้ทำให้เขากลายเป็นเจ้าของความหมายชีวิตของตนเอง และนั่นคือ ความสุขของผู้มีเสรีภาพ ตามทัศนะของกามูส์ พูดอีกอย่างคือ ความปีติในทัศนะอัตถิภาวนิยมเกิดขึ้นเมื่อปัจเจกบุคคลตระหนักว่า แม้ชีวิตจะปราศจากความหมายสากล แต่เรายังสามารถสร้างความหมายและคุณค่าใหม่ ๆ ขึ้นมาเองได้ด้วยเสรีภาพและความรับผิดชอบของเรา ยิ่งไปกว่านั้น เสรีภาพที่เคยทำให้มนุษย์หวาดกลัวเพราะไร้เครื่องยึดเหนี่ยว (freedom from meaning) สามารถกลับกลายเป็นเสรีภาพที่ทำให้มนุษย์ฮึกเหิมลุกขึ้นมาสร้างสรรค์ชีวิตของตน (freedom to act) ได้เช่นกัน ดังที่มีผู้กล่าวไว้ว่า “เสรีภาพนั้น แม้อาจชวนหวั่นวิตก แต่ก็สามารถยกระดับจิตใจเราให้ปีติฮึกเหิมขึ้นได้ด้วย” สรุปได้ว่าในสายอัตถิภาวนิยม ปีติ มิได้มาจากการทำตามบรรทัดฐานสังคมหรือการได้ครอบครองสิ่งของ หากแต่มาจาก ความ authentic หรือการใช้ชีวิตอย่างแท้จริงตามแบบที่ตนเลือกและยอมรับผลของมันด้วยตนเอง ซึ่งเป็นปีติที่เกิดจากอิสรภาพและการค้นพบความหมายส่วนตัวของชีวิต

 

วิทยาศาสตร์

จิตวิทยา

ในทางจิตวิทยา “ปีติ” ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มอารมณ์บวกขั้นมูลฐานที่ส่งผลดีต่อสุขภาวะจิตใจ งานด้านจิตวิทยาเชิงบวก (Positive Psychology) ได้ศึกษาอารมณ์บวกอย่างปีติยินดี ความสุขใจ ความกตัญญู ฯลฯ แล้วพบว่าอารมณ์เหล่านี้ช่วยเสริมสร้าง ความเป็นอยู่ที่ดี (well-being) และเพิ่มพูนทรัพยากรทางจิตหลายด้าน เช่น ความเข้มแข็งทางใจและความผูกพันในความสัมพันธ์กับผู้อื่น อารมณ์อย่างปีติช่วย ขยายและสร้างสรรค์” ตามทฤษฎี broaden-and-build กล่าวคือเมื่อคนเรามีความรู้สึกปีติแจ่มใส จิตใจจะเปิดกว้าง ยืดหยุ่น และพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ทำให้สามารถสร้างทักษะใหม่ๆ และเสริมสัมพันธภาพทางสังคมที่ดีได้ง่ายขึ้น

นักจิตวิทยายังสนใจศึกษา ความแตกต่างระหว่าง “ปีติ” กับ “ความสุข” ทั่วไป เพราะแม้สองคำนี้มักใช้แทนกันได้ในชีวิตประจำวัน แต่เชิงวิชาการมีการแยกความหมายไว้พอสมควร โดยทั่วไป ความสุข” (happiness) มักหมายถึงสภาวะอารมณ์เชิงบวกที่เกิดขึ้นตามเหตุการณ์หรือสิ่งเร้าภายนอก เป็นความรู้สึกพึงพอใจที่อาจเกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งคราว เช่น มีความสุขเมื่อได้ทานอาหารอร่อยหรือได้รับคำชม ในทางตรงกันข้าม ปีติ” (joy) มักถูกอธิบายว่าเป็นความรู้สึกเชิงบวกที่ ลึกซึ้งและยั่งยืนกว่า ซึ่งเชื่อมโยงกับ ความหมายและคุณค่าในชีวิต และไม่ขึ้นกับเหตุการณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว นักจิตวิทยาคลินิก Lindsey R. Ackerman ให้นิยามไว้ว่า ปีติเป็นอารมณ์พื้นฐานอันลึกซึ้งที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลรู้สึกเชื่อมโยงลึกซึ้งในความสัมพันธ์ อยู่บนหนทางที่สอดคล้องกับคุณค่าของตนเอง หรือมีความหมายเป้าหมายในชีวิต” กล่าวคือปีติสัมพันธ์กับความรู้สึกว่า “ชีวิตนี้มีคุณค่า” และมักมาพร้อมกับความรู้สึกขอบคุณ (gratitude) หรือซาบซึ้ง แม้บางครั้งจะเกิดท่ามกลางความทุกข์ก็ตาม นักวิจัยยังพบว่าปีติสามารถดำรงอยู่ร่วมกับอารมณ์อื่น เช่น รู้สึกเศร้าแต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความปีติหวังใจ (เช่นผู้ที่เสียสละเพื่อผู้อื่นอาจทุกข์กายแต่ปีติใจ) ในขณะที่ความสุขมักเป็นอารมณ์ด้านบวกที่ชัดเจนตรงไปตรงมา เมื่อมองในแง่กลไก ความสุข มักเกิดขึ้นแบบฉับพลันตามจังหวะเวลาและสถานที่ที่พอเหมาะ เช่น ดีใจเมื่อบรรลุเป้าหมายหรือได้รับของรางวัล ในทางตรงกันข้าม ความปีติ มาจากความพึงพอใจภายในที่ต่อเนื่องยาวนานกว่า เกิดจากความสัมพันธ์หรือประสบการณ์ชีวิตที่มีความหมาย เช่น การเลี้ยงดูลูก การทุ่มเททำงานที่รัก การเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่มีคุณค่า สรุปได้ว่า ความสุข เปรียบเหมือนความรื่นรมย์ชั่วครั้งคราว ส่วน ปีติ เปรียบเหมือนความอิ่มเอิบลึก ๆ ที่ฝังอยู่ในใจคนเราจากการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและเป้าหมาย

ยิ่งไปกว่านั้น นักจิตวิทยาบางสำนักเสนอว่าปีติเป็นดัชนีหนึ่งของ “ชีวิตที่มีความหมาย” (meaningful life) โดยพบว่าคนที่รู้สึกว่าชีวิตตนมีความหมายมักจะรายงานว่าตนเองมีความปีติเพลิดเพลินกับชีวิตในระดับที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่ความสนุกสนานชั่วครั้งคราว นั่นสอดคล้องกับแนวคิดของ Viktor Frankl (ผู้เขียน Man’s Search for Meaning) ที่ว่า การค้นพบความหมายในชีวิตทำให้มนุษย์สามารถมองข้ามความทุกข์ยากและยังคงพบความชื่นชมยินดีในชีวิตได้ สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า “Joy is the ability to affirm the goodness of life even in the midst of sorrow”ความปีติคือความสามารถที่จะยืนยันรับรู้อภิรมย์ในความดีงามของชีวิตได้ แม้ท่ามกลางความทุกข์โศก โดยสรุปในมุมมองจิตวิทยา ปีติ เป็นอารมณ์เชิงบวกที่มีคุณภาพเฉพาะ – คือฝังรากลึกในความสัมพันธ์ที่ดี ความกตัญญู และความหมายของชีวิต ส่งผลดีต่อสุขภาพจิตมากกว่าความสุขฉาบฉวย ทั้งยังเป็นแรงขับให้มนุษย์สร้างสรรค์ชีวิตที่มีคุณค่าและยืนหยัดในยามเผชิญปัญหาได้ดียิ่งขึ้น

ประสาทวิทยา

ทางด้านประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscience) มีการศึกษาว่า ปีติ” และอารมณ์เชิงบวกทั้งหลายสัมพันธ์กับการทำงานของสมองและสารสื่อประสาทอย่างไร งานวิจัยพบว่าสารเคมีในสมองบางชนิดมีบทบาทสำคัญต่อความรู้สึกสุขปีติของเรา สารสื่อประสาทหลักที่มักกล่าวถึงคือ โดพามีน (Dopamine) และ เซโรโทนิน (Serotonin) โดยทั้งสองเกี่ยวข้องกับระบบ “รางวัล” และการสร้างอารมณ์เชิงบวกในสมอง

  • โดพามีน มักถูกเรียกว่า สารแห่งความสุข” เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความรู้สึกสุขใจเมื่อเราได้รับรางวัลหรือพบเจอสิ่งพึงพอใจ สมองจะหลั่งโดพามีนในระบบประสาทบริเวณศูนย์การให้รางวัล (reward center) เช่น ส่วน nucleus accumbens ทำให้เรารู้สึกดีใจตื่นเต้นชั่วขณะ คล้ายเวลาที่ประสบความสำเร็จหรือได้รับสิ่งที่ต้องการ งานวิจัยชี้ว่าเมื่อโดพามีนถูกหลั่งออกมา เราจะรู้สึกสุขสำราญแบบฉับพลันแต่ชั่วครู่ สมองจะจำเหตุการณ์นั้นว่าให้ความสุขและกระตุ้นให้เราอยากทำสิ่งนั้นอีก (กลไกการเสริมแรง)
  • เซโรโทนิน เป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์และความรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย ระดับเซโรโทนินที่เหมาะสมมีส่วนช่วยให้คนเรารู้สึกสงบเยือกเย็น มองโลกในแง่ดี และมีความพึงพอใจในชีวิตอย่างต่อเนื่อง แตกต่างจากโดพามีนที่ให้ความรู้สึกวูบวาบ เซโรโทนินเปรียบเสมือน สารแห่งความอิ่มเอมใจ” ที่สร้าง ความสุขสงบยืนยาว มากกว่า ผู้ที่มีระดับเซโรโทนินสมดุลมักจะอารมณ์ดีคงที่ ไม่หงุดหงิดหรือซึมเศร้าง่าย กิจกรรมบางอย่างเช่นการออกกำลังกาย การทำสมาธิ การได้รับแสงแดดพอเหมาะ ล้วนช่วยกระตุ้นการหลั่งเซโรโทนินได้ ในแง่นี้ เซโรโทนินเป็นดั่งฐานของความรู้สึกปีติสุขสงบในระยะยาว ขณะที่โดพามีนเป็นตัวสร้างความดีใจพุ่งพล่านระยะสั้น ทั้งสองอย่างมีความสำคัญและเกื้อหนุนกันในการทำให้เรารู้สึกเป็นสุขโดยสมบูรณ์ การศึกษาพบว่าการแสดงความกตัญญูหรือการคิดถึงสิ่งที่เราขอบคุณในชีวิต สามารถกระตุ้นให้สมองหลั่งทั้งโดพามีนและเซโรโทนินพร้อมกัน ส่งผลให้เรารู้สึกดีใจและอิ่มใจไปพร้อม ๆ กัน ยกตัวอย่างเช่น มีผู้กล่าวว่า การเขียนบันทึกเรื่องที่รู้สึกขอบคุณแต่ละวัน จะกระตุ้นการหลั่งสารสุขในสมอง” ซึ่งอธิบายได้ว่าขณะเขียนนั้นเราจะรู้สึกใจฟู (โดพามีนหลั่ง) และต่อเนื่องไปเกิดความอิ่มเอิบใจสงบสุข (เซโรโทนินหลั่ง)

นอกจากบทบาทของโดพามีนและเซโรโทนินแล้ว ประสาทวิทยายังพบว่า การประสบ “ความสุข” จากสิ่งเร้าภายนอกกับ “ความปีติ” จากแรงจูงใจภายในมีวงจรสมองที่เกี่ยวข้องต่างกัน การทดลองเผยว่าเมื่อคนเรามีความสุขจากรางวัลภายนอก สมองส่วนศูนย์การให้รางวัลและวงจรโดพามีนจะทำงานโดดเด่น (เช่น เวลากินของหวานอร่อยหรือได้รับเงินรางวัล วงจรนี้จะ active) แต่ในทางกลับกัน เมื่อคนเรารู้สึกปีติจากการทำสิ่งที่มีคุณค่าเชิงจิตใจ เช่น การทำความดี การปฏิบัติศาสนา หรือการทำงานศิลปะที่รัก สมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับ การควบคุมอารมณ์และการสร้างแรงจูงใจจากภายใน จะทำงานมากขึ้น เช่น บริเวณ prefrontal cortex และ anterior cingulate cortex ที่ช่วยในการยับยั้งชั่งใจและประมวลความหมายคุณค่าของประสบการณ์จะมีบทบาทเด่น นักวิจัยอย่าง Ackerman อธิบายว่า ความสุขที่เกิดจากสิ่งเร้าภายนอกจะกระตุ้นระบบการให้รางวัลของสมอง และสัมพันธ์กับการหลั่งโดพามีน ในขณะที่ปีติที่เกิดจากแรงจูงใจภายในสัมพันธ์กับส่วนของสมองที่เกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์” นั่นหมายความว่า ปีติอาจเป็นผลลัพธ์ของการที่สมองส่วนรางวัลและส่วนควบคุมทำงานประสานกันอย่างสมดุล – เราได้รับทั้งความตื่นเต้นจากโดพามีนและความอิ่มใจสงบจากเซโรโทนินและการควบคุมอารมณ์ เป็นความสุขเชิงบวกที่ครบถ้วนทั้งด้านเร้าใจและด้านสงบเย็น

นอกจากนี้ การศึกษาทางประสาทวิทยาสมัยใหม่อย่างเช่นการสแกนสมอง fMRI พบว่าเมื่อคนเรามีความสุขหรือปีติ สมองจะหลั่งสารอื่นๆ ที่ช่วยส่งเสริมอารมณ์ดีด้วย เช่น เอ็นดอร์ฟิน (Endorphins) ซึ่งเป็นสารระงับปวดตามธรรมชาติและสร้างความรู้สึกเคลิบเคลิ้มผ่อนคลาย หรือ ออกซิโทซิน (Oxytocin) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความผูกพันและความไว้วางใจในความสัมพันธ์ (จึงถูกเรียกว่า “ฮอร์โมนแห่งความรัก”) สารเหล่านี้ทำงานร่วมกันเป็นเครือข่าย ช่วยยืนยันว่าความปีติสุขไม่ใช่เรื่องลี้ลับเกินเข้าใจ หากแต่สอดคล้องกับกระบวนการทางกายภาพในร่างกายมนุษย์

โดยสรุป ในมุมมองวิทยาศาสตร์ ประสบการณ์ ปีติ” คือผลลัพธ์ของการทำงานร่วมกันของระบบประสาทและสารเคมีในสมองหลายชนิด โดพามีนทำให้เกิดความดีใจฮึกเหิม เซโรโทนินสร้างความสุขสงบระยะยาว ส่วนอวัยวะสมองต่าง ๆ ก็บูรณาการข้อมูลเกี่ยวกับรางวัล ความหมาย และการควบคุมอารมณ์ จนก่อให้เกิดความรู้สึกปีติอย่างที่เรารับรู้ การทำความเข้าใจกระบวนการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้เราเห็นภาพกลไกของความสุขปีติ แต่ยังนำไปสู่คำแนะนำในทางปฏิบัติ เช่น การออกกำลังเป็นประจำ การทำสมาธิ การฝึกขอบคุณสิ่งดี ๆ ในชีวิต ล้วนเป็นวิธีที่วิทยาศาสตร์พบว่าสามารถกระตุ้นสารเคมีแห่งความสุขและทำให้เรามีความปีติมากขึ้นในชีวิตประจำวันได้


แหล่งที่มา: ปีติในพระพุทธศาสนา; ความปีติในคริสต์ศาสนาตามแนวคิดนักบุญออกัสติน; ปีติจากการละหมาดและความใกล้ชิดพระเจ้าในอิสลาม; แนวคิดความสุขของเพลโตและอริสโตเติล; ความปีติแบบสโตอิก; ความปีติในมุมมองอัตถิภาวนิยม; คำอธิบายเชิงจิตวิทยาของ Joy vs. Happiness; บทบาทของโดพามีนและเซโรโทนินต่อความสุขปีติ เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น