วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

Relative valuation

การเปรียบเทียบมูลค่าสินทรัพย์ด้วยวิธีประเมินมูลค่าเชิงสัมพัทธ์ (Relative Valuation)

ในการลงทุน การประเมินมูลค่าเชิงสัมพัทธ์ (Relative Valuation) คือการเปรียบเทียบมูลค่าของสินทรัพย์ชนิดหนึ่งกับอีกชนิดหนึ่ง แทนที่จะดูมูลค่าแบบสัมบูรณ์ (absolute) เช่น ราคาดอลลาร์เพียงอย่างเดียว แนวคิดนี้ช่วยให้นักลงทุนเห็นว่าสินทรัพย์ใด “แพง” หรือ “ถูก” เมื่อเทียบกัน โดยอาศัย อัตราส่วน (ratio) ระหว่างราคาสินทรัพย์สองชนิด ตัวอย่างเช่น การเทียบดัชนีหุ้นกับราคาทองคำ หรือราคาทองคำกับราคาเงิน ฯลฯ อัตราส่วนเหล่านี้ไม่มีหน่วยเงินตราเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ผลของเงินเฟ้อถูกตัดออกไป เหลือเพียงมูลค่าของสินทรัพย์สองชนิดเทียบกัน นักลงทุนนิยมใช้ข้อมูลประวัติศาสตร์ระยะยาวของอัตราส่วนเหล่านี้เพื่อหาสัญญาณว่าสินทรัพย์ใดกำลังอยู่ในช่วงถูกหรือแพงเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยหรือเมื่อเทียบกับอดีต

 

อัตราส่วน Dow/Gold – หุ้นเทียบกับทองคำ

ภาพที่ 1: กราฟอัตราส่วน Dow/Gold (ดัชนีดาวโจนส์เทียบราคาทองคำ) ย้อนหลัง 100 ปี

ความหมาย: อัตราส่วน Dow/Gold หมายถึงจำนวนออนซ์ทองคำที่ต้องใช้ในการซื้อหุ้นทั้งหมดในดัชนี Dow Jones Industrial Average (Dow Jones) ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นใหญ่ของสหรัฐฯ หากค่า ratio สูง แปลว่า หุ้น (Dow) มีมูลค่าสูงเมื่อเทียบกับทองคำ (ต้องใช้ทองคำเยอะในการซื้อหุ้น) ในทางกลับกัน หาก ratio ต่ำ แปลว่า ทองคำ มีมูลค่าสูงกว่าเมื่อเทียบกับหุ้น (ใช้ทองคำน้อยลงในการซื้อหุ้น) ดังนั้น Dow/Gold ratio เปรียบเสมือนเครื่องชี้ว่าตอนนี้หุ้นแพงหรือถูกเมื่อเทียบกับทองคำ โดยไม่มีหน่วยเงินดอลลาร์มาเกี่ยวข้อง

การตีความเชิงประวัติ: ค่า Dow/Gold ratio เปลี่ยนแปลงขึ้นลงเป็นวัฏจักรตามสภาพตลาดในแต่ละยุคสมัย จุดสูงสุดหรือต่ำสุดของอัตราส่วนนี้มัก เกิดพร้อมกับจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดหุ้นและทองคำ ยกตัวอย่างเช่น:

  • ช่วงที่หุ้นแพงจัดเทียบกับทองคำ: ในอดีตปี 1929, 1966 และ 1999 ค่า Dow/Gold ratio พุ่งขึ้นจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งสอดคล้องกับช่วงดัชนีหุ้นทำจุดสูงสุดก่อนเกิดการปรับฐานใหญ่ (เช่น วิกฤตเศรษฐกิจหรือฟองสบู่แตก) นักลงทุนที่สังเกตเห็น ratio สูงผิดปกติในช่วงนั้นจะทราบว่าหุ้นมีราคาค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับทอง
  • ช่วงที่หุ้นถูกมากเทียบกับทองคำ: ตรงกันข้าม ในปี 1932 (หลังวิกฤตเศรษฐกิจ Great Depression) และปี 1980 (ช่วงที่ราคาทองคำพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ขณะนั้น) ค่า Dow/Gold ratio ลดลงแตะระดับต่ำสุด (ใกล้เคียง 1 ต่อ 1 หรือ 2 ต่อ 1) นั่นคือใช้ทองคำเพียงประมาณ 1–2 ออนซ์ก็ซื้อหุ้นในดัชนี Dow Jones ได้ทั้งชุด เหตุการณ์นี้บ่งชี้ว่าหุ้นถูกผิดปกติเมื่อเทียบกับทองคำในเวลานั้น

ช่วงปี 1980 ถือเป็นตัวอย่างสุดขั้ว: ดัชนี Dow Jones อยู่ราว 800 จุด ขณะที่ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะประมาณ 800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งทำให้ Dow/Gold ratio 1 (ซื้อหุ้นทั้งดัชนีด้วยทอง ~1 ออนซ์) ถือเป็นจุดต่ำสุดทางประวัติศาสตร์ของอัตราส่วนนี้ ต่อมาหลังปี 1980 เป็นต้นมา หุ้นสหรัฐฯ เข้าสู่ ตลาดกระทิง รอบใหญ่ ในขณะที่ราคาทองคำปรับฐานลง ส่งผลให้ Dow/Gold ratio สูงขึ้นยาวนาน ในปี 1999 ค่า ratio นี้ขึ้นไปแตะประมาณ 40 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดช่วงฟองสบู่ดอทคอม ก่อนที่จะแตกในปี 2000

การใช้วิเคราะห์ตลาด: เมื่อค่า Dow/Gold ratio สูงมากผิดปกติ (หุ้นแพงเมื่อเทียบกับทอง) นักลงทุนบางส่วนอาจมองว่าเป็นสัญญาณเตือน ภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้น และพิจารณาลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นลง หรือย้ายส่วนหนึ่งไปสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ เพราะมีโอกาสที่หุ้นจะปรับฐาน ส่วนทองคำอาจปรับขึ้นเพื่อปรับสมดุล เช่นเดียวกัน หาก ratio ต่ำมาก (หุ้นถูกเทียบกับทอง) ก็บ่งชี้ว่าอาจถึงจุดที่ ทองคำแพงและหุ้นถูก จนน่าสนใจที่จะทยอยกลับเข้าลงทุนในหุ้นมากขึ้น เป็นต้น ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติ การเปลี่ยนแปลงทิศทางของ Dow/Gold ratio มักเกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนวงจรเศรษฐกิจ และการโยกย้ายเม็ดเงินลงทุน: เมื่อหุ้นเริ่มอ่อนแอกว่าทอง นักลงทุนมักย้ายเงินจากตลาดหุ้นไปสินทรัพย์ปลอดภัย (ทองคำ เงิน น้ำมัน) ซึ่งมักเกิดขึ้นก่อนหรือในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ดังนั้น การเฝ้าดูเทรนด์ของ Dow/Gold ratio ประกอบกับปัจจัยเศรษฐกิจอื่น ช่วยให้นักลงทุนจับสัญญาณการ หมุนเวียนเงินทุน (capital rotation) ระหว่างสินทรัพย์เสี่ยงและสินทรัพย์ปลอดภัยได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ควรย้ำว่า ค่าอัตราส่วนที่สูงหรือต่ำเป็นพิเศษอาจดำรงอยู่เป็นเวลานานก่อนตลาดจะกลับทิศ เช่น ในยุคปลายทศวรรษ 1990 หุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทำให้ Dow/Gold ratio สูงผิดปกติอยู่หลายปีกว่าจะเกิดการปรับฐานใหญ่ ดังนั้นนักลงทุนจึงไม่ควรใช้สัญญาณนี้เพียงอย่างเดียวในการจับจังหวะตลาด แต่ควรประยุกต์ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ เช่น ภาวะเศรษฐกิจ แนวโน้มดอกเบี้ย และการวิเคราะห์ทางเทคนิค

 

อัตราส่วน Gold/Silver – ราคาทองคำเทียบกับราคาเงิน

ภาพที่ 2: กราฟแสดงค่า Gold/Silver Ratio (อัตราส่วนราคาทองคำต่อราคาสินแร่เงิน) จะเห็นว่าอัตราส่วนนี้แกว่งตัวขึ้นลงตามวัฏจักร โดยจุดสูงสุด 125:1 เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตโควิดปี 2020

ความหมาย: Gold/Silver Ratio แสดงจำนวนออนซ์ของ เงิน (Silver) ที่มีค่าเท่ากับทองคำ 1 ออนซ์ในราคาตลาดปัจจุบัน คำนวณโดยเอา ราคาทองคำ (ต่อออนซ์) หารด้วย ราคาเงิน (ต่อออนซ์) เช่น หากราคาทองคำอยู่ที่ 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ และราคาเงิน 25 ดอลลาร์/ออนซ์ อัตราส่วน Gold/Silver จะเท่ากับ 72 หมายความว่าทองคำ 1 ออนซ์มีมูลค่าเท่ากับเงิน 72 ออนซ์ อัตราส่วนนี้นิยมใช้ในหมู่นักลงทุนโลหะมีค่าเพื่อประเมินว่าระหว่างทองกับเงิน อะไรแพงหรูกว่ากันในเชิงสัมพัทธ์ และมักใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจลงทุนในทองหรือเงิน

การตีความ: ในทางประวัติศาสตร์ อัตราส่วนทองคำต่อเงินนี้มีความผันผวนสูงมาก ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและอุปสงค์อุปทานของโลหะทั้งสอง โดย ค่ากลางระยะยาว ของ Gold/Silver Ratio อยู่ราว ๆ 50–60 ครั้ง (ในศตวรรษที่ 20) แต่ในบางยุคสมัยก็แกว่งไปสุดขั้วทั้งสองด้าน:

  • อัตราส่วนสูงมาก (เกิน ~80–100)หมายถึง ทองคำแพงเมื่อเทียบกับเงิน (หรือพูดอีกด้านว่า เงิน” มีราคาถูกกว่าทองมากเมื่อเทียบปริมาณ) สถานการณ์นี้มักบ่งชี้โอกาสที่ราคาเงินอาจปรับขึ้นแรงกว่าทองในอนาคต เพราะเงินมีแนวโน้มจะ “ตาม” ราคาทองคำขึ้นไปเมื่ออัตราส่วนสูงผิดปกติ ยกตัวอย่างล่าสุด ในช่วงเดือนมีนาคม 2020 เกิดวิกฤตโควิด ราคาทองคำปรับขึ้นเพราะนักลงทุนแห่ถือสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่ราคาเงินปรับลงเนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้อัตราส่วน Gold/Silver พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเกือบ 125:1 (ทอง 1 ออนซ์ = เงิน 125 ออนซ์) นับเป็นค่าสูงสุดในรอบหลายร้อยปีเลยทีเดียว หลังจากนั้นราคาสินแร่เงินปรับตัวขึ้นแรงในช่วงปี 2020–2021 ทำให้อัตราส่วนนี้ลดลงมาอย่างรวดเร็ว นี่เป็นตัวอย่างว่าช่วงที่ ratio สูงมากๆ เงิน (ซึ่งราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับทอง) สามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าเมื่อตลาดกลับสู่สมดุล
  • อัตราส่วนต่ำมาก (ต่ำกว่า ~40 หรือต่ำสุดเป็นประวัติการณ์)หมายถึง เงินมีราคาแพงกว่าเมื่อเทียบกับทอง (ทอง 1 ออนซ์แลกเงินได้น้อยลง) กรณีนี้บ่งชี้ว่าอาจถึงช่วงที่ราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้นหรือเงินอาจปรับลงเพื่อกลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ย ตัวอย่างเช่น ช่วงปี 1980 ที่เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงและการเก็งกำไรโลหะมีค่า ราคาสินแร่เงินพุ่งขึ้นอย่างมาก (เพราะกลุ่มนักลงทุนพี่น้อง Hunt corner ตลาดเงิน) จน Gold/Silver ratio ลดลงเหลือประมาณ 15:1 (ทองคำแพงกว่าเงินแค่ 15 เท่า) ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในความทรงจำยุคใหม่ หลังจากนั้นราคาเงินก็ย่อตัวลงแรง ทำให้อัตราส่วนปรับขึ้นอีกครั้ง

บริบททางประวัติศาสตร์: น่าสังเกตว่าในอดีตหลายร้อยปีที่ผ่านมาที่ระบบเงินตราใช้อมิสร (bimetallic standard) รัฐบาลมักกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนทองคำต่อเงินไว้ค่อนข้างคงที่ เช่น จักรวรรดิโรมันกำหนดไว้ที่ 12:1 และรัฐบาลสหรัฐฯ ในปี 1792 กำหนดไว้ 15:1 ตามกฎหมาย Coinage Act ซึ่งแตกต่างจากยุคปัจจุบันที่ราคาเป็นไปตามกลไกตลาดเต็มที่ อัตราส่วนจึงผันผวนตามอุปสงค์อุปทานอย่างเสรี อย่างไรก็ตาม การรับรู้ค่าเฉลี่ยในอดีต (เช่น ~15 ในยุคมาตรฐานทองคำ หรือ ~50–60 ในศตวรรษ 20) ช่วยให้นักลงทุนพิจารณาได้ว่าค่า Gold/Silver Ratio ณ ปัจจุบันสูงหรือต่ำกว่าค่าปกติ และอาจปรับพอร์ตลงทุนตามมุมมองนั้น

การประยุกต์ใช้: นักลงทุนบางรายใช้กลยุทธ์สับเปลี่ยนการถือครองทองกับเงินตามค่าอัตราส่วนนี้ เช่น

  • เมื่อใดที่ Gold/Silver Ratio สูงมากผิดปกติ (เช่น >80 หรือ 100 ขึ้นไป) ก็จะเพิ่มการถือครอง “เงิน” มากขึ้น เนื่องจากเชื่อว่าเงินมีโอกาสราคาขึ้น (ให้ผลตอบแทนดีกว่าทองในระยะถัดไป) หรืออาจสลับจากทองบางส่วนไปซื้อเงิน เพราะมองว่าเงินถูกกว่าเมื่อเทียบกับมูลค่าทองในช่วงนั้น
  • ในทางกลับกัน ถ้า Gold/Silver Ratio ต่ำมาก ใกล้ระดับประวัติการณ์ (เช่น ต่ำกว่า 30) ก็อาจเพิ่มสัดส่วน “ทองคำ” เพราะทองอาจจะปรับขึ้นหรืออย่างน้อยมีความเสี่ยงขาลงน้อยกว่าเงินที่ราคาอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกัน

ทั้งนี้ ราคาทองและเงินมักเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ (มีความสัมพันธ์เชิงบวกสูง) ตามภาวะตลาดโลหะมีค่าและเศรษฐกิจ เช่น ช่วงตลาดกระทิงของทองคำ ก็มักจะดึงให้ราคาเงินขึ้นตาม (ถึงแม้ % อาจต่างกัน) ด้วยเหตุนี้ การตัดสินใจลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นควบคู่ เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจ ความต้องการอุตสาหกรรมของเงิน (เงินมีการใช้ในอุตสาหกรรม ~60% ของอุปสงค์ทั้งหมด ซึ่งต่างจากทองที่ใช้เพื่อการลงทุนและเครื่องประดับเป็นหลัก) รวมถึงค่าเงินดอลลาร์ เป็นต้น

 

อัตราส่วน Real Estate/Gold – อสังหาริมทรัพย์เทียบกับทองคำ

ความหมาย: อัตราส่วน Real Estate/Gold ต้องการบอกว่า ต้องใช้ทองคำกี่ออนซ์ในการซื้อบ้านเดี่ยวหนึ่งหลัง โดยทั่วไปมักใช้ ดัชนีราคาบ้าน (เช่น Case-Shiller Home Price Index ของสหรัฐฯ) เทียบกับราคาทองคำ เพื่อดูว่าอสังหาริมทรัพย์แพงขึ้นหรือลดลงเมื่อวัดเป็นหน่วยทองคำ เนื่องจากราคาบ้านและราคาทองต่างก็ขึ้นลงตามภาวะเงินเฟ้อและปัจจัยเศรษฐกิจ การนำมาหารกันจะช่วยตัดผลของเงินเฟ้อออก และวัด “มูลค่าสัมพัทธ์” ของของสองสิ่งที่เป็นสินทรัพย์จริง (tangible assets) ได้อย่างมีความหมาย

การตีความ: เช่นเดียวกับ Dow/Gold ratio อัตราส่วน บ้าน:ทอง นี้สามารถบอกเป็นนัยได้ว่าในช่วงเวลาหนึ่ง บ้านราคาแพงหรือถูกเมื่อเทียบกับทองคำ ข้อมูลในอดีตของสหรัฐฯ พบว่าช่วงที่อัตราส่วนนี้สูงมาก มักเป็นยุคที่ราคาบ้านพุ่งสูง (อาจจะเพราะเศรษฐกิจขยายตัว การปล่อยสินเชื่อเฟื่องฟู) ขณะที่ราคาทองคำไม่ขึ้นมาก หรืออาจอยู่ในขาลง ส่วนช่วงที่อัตราส่วนต่ำมาก มักเป็นช่วงที่ราคาทองคำทะยานขึ้นอย่างมาก (เช่น ช่วงเงินเฟ้อสูงหรือวิกฤต) ขณะที่ตลาดอสังหาฯ ซบเซาหรือราคาบ้านปรับลง

ตัวอย่างเชิงตัวเลข: ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา เคยมีช่วงที่ต้องใช้ทองมากถึง ~800 ออนซ์ในการซื้อบ้านเฉลี่ย 1 หลัง (เกิดขึ้นราวช่วงฟองสบู่ดอตคอมปี 2001 ที่ราคาทองคำต่ำและอสังหาฯ สหรัฐฯ กำลังเริ่มบูม) และเคยมีช่วงที่ใช้ทองเพียง ~100 ออนซ์ต่อบ้าน 1 หลัง (ในปี 1980 เมื่อทองคำราคาสูงมากจากวิกฤตเงินเฟ้อ ขณะที่อสังหาฯ ยังไม่ฟื้นตัว) ความแตกต่างจาก 800 100 ออนซ์นี้แสดงถึงวัฏจักรใหญ่ของมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างบ้านกับทองคำ:

  • เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว ตลาดหุ้นและอสังหาฯ รุ่ง ราคาทองคำมักซบเซา Real Estate/Gold ratio สูงขึ้น (ถือบ้านให้ผลตอบแทนดีกว่าถือทองในช่วงนั้น)
  • เมื่อเกิดวิกฤตหรือเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสูญความเชื่อมั่นในสินทรัพย์การเงิน หันไปหาทองคำ ราคาทองพุ่ง ขณะที่อสังหาฯ ชะลอตัวหรือตกลง ทำให้ Real Estate/Gold ratio ดิ่งลง (ทองคำมีมูลค่าเพิ่มเมื่อเทียบกับบ้าน)

การใช้วิเคราะห์: สำหรับนักลงทุนทั่วไป อัตราส่วนนี้อาจดูไกลตัวกว่า Dow/Gold หรือ Gold/Silver เพราะการโยกเงินระหว่าง “บ้าน” กับ “ทองคำ” ไม่ได้ทำได้ง่ายหรือบ่อย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้มีประโยชน์ในการประเมินภาพใหญ่ของตลาด อสังหาริมทรัพย์เทียบกับสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง (hedge) อย่างทองคำ เช่น หากในขณะใดขณะหนึ่ง ราคาบ้านขึ้นสูงมากเมื่อวัดเป็นทองคำ (อัตราส่วนสูงกว่าค่าเฉลี่ยประวัติศาสตร์มาก) ก็อาจบ่งชี้ว่าตลาดบ้านเริ่มตึงตัวและทองคำอาจ undervalued (ราคายังไม่สะท้อนความเสี่ยงเศรษฐกิจ) นักลงทุนที่มีทั้งบ้านและทองในพอร์ตอาจพิจารณาปรับสัดส่วน เช่น ขายอสังหาฯ บางส่วนหรือชะลอการซื้อบ้านใหม่ แล้วเพิ่มการถือครองทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง เป็นต้น ตรงข้ามกัน หาก ราคาทองขึ้นสูงมากเมื่อเทียบกับอสังหาฯ (อัตราส่วนต่ำมาก บ้านแลกได้ด้วยทองน้อยลงเรื่อยๆ) ก็อาจเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาฯ เนื่องจากบ้านอาจมีมูลค่าถูกลงเมื่อคิดในหน่วยทองคำ (เช่น ช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจที่ทองราคาพุ่ง แต่บ้านราคาตก)

แน่นอนว่าการตัดสินใจลงทุนในบ้านหรือทองจริง ๆ ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นอีกมาก เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ภาวะฟองสบู่ในอสังหาฯ การเช่าปล่อยสินทรัพย์ และสภาพคล่อง (บ้านขายเปลี่ยนเงินยากกว่าทอง) เป็นต้น แต่การติดตาม Real Estate/Gold ratio อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจ จุดกลับตัวระยะยาวของเทรนด์ราคาสินทรัพย์จริง ได้ดีขึ้น จากงานวิจัยพบว่าอัตราส่วนนี้มีประวัติช่วยชี้ จุดกลับแนวโน้มขาขึ้น-ขาลงของทองคำในระยะยาว ได้พอสมควร เช่น เมื่อบ้านแพงมากเทียบกับทอง (ทอง undervalued) ก็มักเป็นจุดที่อีกไม่นานทองคำจะเริ่มเข้าสู่รอบขาขึ้นใหญ่ และในทางกลับกัน

 

อัตราส่วน Bitcoin/Gold – Bitcoin เทียบกับทองคำ

ความหมาย: อัตราส่วน Bitcoin/Gold บ่งบอกว่า ต้องใช้ทองคำกี่ออนซ์ในการซื้อ Bitcoin 1 เหรียญ โดยคำนวณจาก ราคาของ 1 BTC (Bitcoin) หารด้วยราคาทองคำต่อออนซ์ หากอัตราส่วนนี้เพิ่มขึ้น แปลว่า Bitcoin ให้ผลตอบแทนดีกว่าทองในช่วงนั้น (ราคาบิตคอยน์ขึ้นแรงกว่าทองหรือทองลงขณะที่บิตคอยน์ขึ้น) แต่ถ้าอัตราส่วนลดลงก็แปลว่า ทองคำกำลังชนะบิตคอยน์ (ราคาทองขึ้นหรือบิตคอยน์ลง) กล่าวอีกนัยหนึ่ง Bitcoin/Gold ratio เป็นการวัด มูลค่าของ “ทองคำดิจิทัล” (Bitcoin) เทียบกับ ทองคำจริง ซึ่งทั้งคู่ได้ชื่อว่าเป็นสินทรัพย์เพื่อการเก็บรักษามูลค่า (store of value) เหมือนกันในสายตานักลงทุนกลุ่มหนึ่ง

การตีความ: Bitcoin ถือกำเนิดในปี 2009 จึงมีข้อมูลประวัติของอัตราส่วนนี้เพียงประมาณหนึ่งทศวรรษกว่าๆ แต่ก็เห็นความผันผวนมหาศาลตามราคา Bitcoin ที่ขึ้นลงแบบพาราโบลาเป็นช่วงๆ ยกตัวอย่างเช่น:

  • ในช่วงต้นปี 2017 Bitcoin/Gold ratio เคยอยู่ประมาณ 1x (BTC 1 เหรียญมีค่า ~ ทอง 1 ออนซ์) จากนั้นราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ปลายปี 2017 ratio นี้ขึ้นไปสูงกว่า 15x (BTC 1 เหรียญ ทอง 15 ออนซ์) ก่อนที่ฟองสบู่คริปโตจะแตกในปี 2018 ส่งผลให้อัตราส่วนร่วงลงมาเหลือต่ำกว่า 5x ในปี 2019
  • ช่วงขาขึ้นถัดมาในปี 2020–2021 Bitcoin ราคาทะยานอีกครั้งจากกระแสการลงทุนทั่วโลก ทำให้ Bitcoin/Gold ratio แตะระดับสูงราว 20–30x (บิตคอยน์แพงกว่าทอง 20-30 เท่า) ก่อนจะปรับฐานในปี 2022 ในขณะที่ทองคำปรับขึ้น จนอัตราส่วนลดลงมา ปัจจุบัน (กลางปี 2025) Ratio นี้อยู่แถวหลักสิบต้นๆ

ตัวเลขทางประวัติ: จากบทวิเคราะห์หนึ่งระบุว่าอัตราส่วน Bitcoin/Gold นั้นต่ำสุดเคยลงไปใต้ระดับ 3x ในปี 2019 และขึ้นไปสูงเกือบ 26x ในปี 2021 โดยระดับประมาณ 10x ดูเหมือนเป็นจุดสมดุลช่วงปี 2017-2023 ที่ผ่านมา (เคยเป็นแนวรับแนวต้านหลายครั้ง) ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึง ความผันผวนสูง ของ Bitcoin เมื่อเทียบกับทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวช้ากว่า ดังนั้น Bitcoin/Gold ratio จึงอาจพุ่งขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็วตามภาวะตลาดคริปโต

การวิเคราะห์เชิงคุณค่า: นักลงทุนบางส่วนเปรียบเทียบ Bitcoin กับทองคำเพราะทั้งคู่มีลักษณะคล้ายกันคือ มีจำนวนจำกัด (ทองคำมีเท่าไรก็เท่านั้นในโลก ขุดเพิ่มได้จำกัด ส่วน Bitcoin ถูกกำหนดให้มีไม่เกิน 21 ล้านเหรียญ และมีการลดปริมาณการผลิตลงครึ่งหนึ่งทุกๆ ~4 ปี) และไม่ได้ถูกควบคุมโดยรัฐบาลกลางโดยตรง นอกจากนี้ยังใช้เป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของเงินเฟียต (Fiat Currency Debasement) ทั้งคู่ อย่างไรก็ดี ทองคำมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปีในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ส่วน Bitcoin เพิ่งเกิดไม่นานและยังมีความผันผวนสูง รวมถึงยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายแบบทองคำ

การใช้วิเคราะห์และข้อควรระวัง: การที่ Bitcoin/Gold ratio สูงมากหมายถึงมูลค่า Bitcoin เพิ่มขึ้นเร็วกว่าทองมาก ผู้ที่ถือบิตคอยน์ได้กำไรสูงเมื่อเทียบกับถือทองในช่วงนั้น แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงสูง หากกระแสเปลี่ยนทิศ อัตราส่วนสามารถลดฮวบได้เร็ว (เพราะราคาบิตคอยน์ลดแรงกว่าทอง) ดังที่เกิดขึ้นหลายครั้ง เช่น หลังปี 2017 และ 2021 เป็นต้น นักลงทุนที่มองอัตราส่วนนี้อาจใช้เป็นสัญญาณคร่าวๆ ในการปรับพอร์ต crypto vs. ทองคำ เช่น:

  • เมื่อ Bitcoin พุ่งแรงจน Ratio สูงผิดปกติ อาจพิจารณา ขายทำกำไรบางส่วนของ Bitcoin มาเก็บเป็นทองคำ เพื่อล็อกกำไรและลดความเสี่ยง (แนวคิดเดียวกับ rebalancing เพื่อลดสินทรัพย์ที่ขึ้นเยอะและเพิ่มสินทรัพย์ที่ขึ้นน้อยกว่า)
  • เมื่อ Bitcoin ดิ่งลงจน Ratio ต่ำมาก (เช่น ช่วงตลาดหมีคริปโต) และยังเชื่อมั่นในระยะยาว อาจค่อยๆ ทยอยสะสม Bitcoin เพิ่ม เพราะในเชิงสัมพัทธ์ทองคำแข็งค่ากว่ามากไปแล้ว มีโอกาสที่เมื่อคริปโตฟื้น Ratio จะดีดกลับ

ทั้งนี้ ควรระลึกว่า ประวัติของ Bitcoin ยังสั้น การตีความอัตราส่วนนี้จึงอาจไม่น่าเชื่อถือเท่าสินทรัพย์อื่นๆ ที่มีข้อมูลหลายสิบปี และ Bitcoin มีปัจจัยเฉพาะตัวที่แตกต่าง เช่น ความคาดหวังเทคโนโลยี กฎระเบียบ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งอาจพลิกผันรวดเร็ว ดังนั้น Bitcoin/Gold ratio ควรใช้เป็นเพียงข้อมูลเสริมภาพใหญ่ ไม่ใช่เครื่องมือเดียวในการตัดสินใจลงทุน

 

การนำอัตราส่วนเหล่านี้ไปใช้ในการวางแผนลงทุน

เมื่อเข้าใจความหมายและนัยของอัตราส่วนมูลค่าเชิงสัมพัทธ์ต่างๆ แล้ว นักลงทุนทั่วไปสามารถนำไปปรับใช้ในการวิเคราะห์และวางแผนการลงทุนจริงได้หลายวิธี ดังต่อไปนี้

1.       การปรับสัดส่วนพอร์ตลงทุน (Portfolio Rebalancing): อัตราส่วนเหล่านี้ช่วยชี้ว่าสินทรัพย์ใดปรับตัวขึ้นมากจนแพงเมื่อเทียบกับอีกสินทรัพย์หนึ่ง การทำ rebalancing คือการขายสินทรัพย์ที่ราคาขึ้นมา “เกินมูลค่า” (เมื่อเทียบสัดส่วนประวัติ) แล้วนำเงินไปซื้อสินทรัพย์ที่ “ต่ำกว่ามูลค่าจะช่วยรักษาสมดุลพอร์ตและล็อกกำไรบางส่วน ตัวอย่างเช่น:

o   หาก Dow/Gold ratio สูงขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ย (หุ้นแพงกว่าทองมาก) นักลงทุนที่มีทั้งหุ้นและทองในพอร์ตอาจขายหุ้นบางส่วนออกมาเปลี่ยนเป็นทองคำเพิ่ม เพื่อลดความเสี่ยงกรณีหุ้นปรับฐานในอนาคต

o   หรือหาก Gold/Silver ratio พุ่งสูงผิดปกติ (ทองแพงกว่าเงินมาก) ผู้ลงทุนในโลหะมีค่าอาจปรับลดทองคำในพอร์ตลง แล้วเพิ่มการถือ เงิน (Silver) เพราะมีแนวโน้มว่าราคาสินแร่เงินอาจปรับตัวขึ้นชดเชยให้ Ratio กลับสู่ภาวะปกติ

o   ในทำนองเดียวกัน เมื่อ Bitcoin ให้ผลตอบแทนสูงมากจน Bitcoin/Gold ratio สูงกว่าปกติเป็นอย่างมาก ก็อาจแบ่งกำไรจาก Bitcoin ไปซื้อทองคำหรือสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นบ้าง เพื่อป้องกันความผันผวนและรักษาพอร์ตให้สมดุลยิ่งขึ้น

2.       การหาจังหวะทยอยลงทุน (Gradual Accumulation & Rotation): อัตราส่วนระยะยาวยังช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพวัฏจักรของสินทรัพย์ต่างๆ และเลือกจังหวะทยอยสะสมหรือหมุนเวียนเงินลงทุนระยะยาวได้ เช่น:

o   เมื่อตลาดหุ้นผ่านช่วงตกต่ำครั้งใหญ่และ Dow/Gold ratio อยู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายสิบปี (หุ้นถูกมากเมื่อเทียบกับทอง) เช่น หลังวิกฤตใหญ่ นักลงทุนระยะยาวอาจมองว่านี่คือโอกาสสะสมหุ้นเพิ่ม (เพราะมี Upside สูงกว่าในระยะถัดไป) โดยอาจลดการถือทองคำลงบางส่วน

o   ถ้า Real Estate/Gold ratio ลดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาก (บ้านแลกได้ด้วยทองน้อยลงเรื่อยๆ) ผู้ที่สนใจอสังหาฯ อาจเห็นเป็นจังหวะเข้าสะสมทรัพย์สินจริง เช่น ซื้อบ้านหรือที่ดินเพิ่ม เพราะได้มูลค่าในเชิงเปรียบเทียบดีกว่าช่วงที่บ้านแพง

o   ในตลาดโลหะมีค่า หาก Gold/Silver ratio สูงกว่าค่าเฉลี่ยมากๆ นักลงทุนระยะยาวอาจทยอยซื้อสะสม โลหะเงิน เพิ่ม (เพราะคาดว่าเมื่อวงจรกลับ เงินจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า) และเมื่อ ratio นี้ลดลงต่ำมากๆ ก็อาจทยอยสลับกลับมาถือ ทองคำ มากขึ้น

o   สำหรับ Bitcoin กับสินทรัพย์ดั้งเดิม ผู้ลงทุนอาจใช้ข้อมูล ratio (เช่น Bitcoin/Gold หรือเทียบดัชนีหุ้น) เพื่อปรับสัดส่วนเมื่อเห็นฟองสบู่หรือความร้อนแรงเกินไป เช่น ปี 2021 ที่ Bitcoin มูลค่าพุ่งขึ้นมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้น (ราคาบิตคอยน์เข้าใกล้มูลค่าดัชนี Dow Jones) ก็อาจเป็นสัญญาณให้ลดความร้อนแรงของพอร์ตคริปโตลง เป็นต้น

3.       การมองภาพใหญ่และบริหารความเสี่ยง: ต่อให้ไม่ได้โยกเงินบ่อยตามอัตราส่วน แต่อย่างน้อยการติดตามแนวโน้มอัตราส่วนเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุน เข้าใจความสัมพันธ์ของสินทรัพย์ต่างประเภท:

o   ช่วงไหนที่กราฟ Dow/Gold เริ่มดิ่งลงต่อเนื่อง อาจสะท้อนความไม่มั่นใจของตลาดต่อเศรษฐกิจ (คนย้ายเงินไปทอง) นักลงทุนก็อาจเตรียมพอร์ตให้รับมือภาวะวิกฤตได้ดีขึ้น (เช่น เพิ่มสินทรัพย์ปลอดภัย ลดหุ้นที่เสี่ยง)

o   ช่วงไหน Gold/Silver เข้าใกล้สุดขั้วด้านใดด้านหนึ่ง ก็อาจคาดหมาย การปรับฐาน (mean reversion) ของราคาทองหรือเงินในอนาคตได้ และจัดกลยุทธ์ไว้ล่วงหน้า

o   การทราบว่า Real estate/Gold อยู่ในระดับใดเทียบประวัติ ก็ช่วยในการตัดสินใจเรื่องที่อยู่อาศัยหรือการลงทุนอสังหาฯ เช่น ถ้าแพงมากอาจชะลอการซื้อหรือขายสินทรัพย์บางส่วนออกมาก่อน เป็นต้น


ข้อจำกัดที่ต้องคำนึงถึง: แม้ว่าการเปรียบเทียบมูลค่าเชิงสัมพัทธ์จะมีประโยชน์ แต่ก็มีข้อควรระวังหลายประการ:

  • ระยะเวลาของข้อมูล: อัตราส่วนเหล่านี้มีความหมายที่สุดในการมองภาพ “ระยะยาว” ไม่เหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้น เพราะระหว่างทางราคาสินทรัพย์อาจผันผวนจากปัจจัยชั่วคราว
  • การอยู่ในระดับสุดขั้วนานกว่าคาด: สินทรัพย์สามารถ overvalue หรือ undervalue เมื่อเทียบกันได้นานกว่าที่เราคิด (เช่น Dow/Gold ratio อยู่ระดับสูงเกินค่าเฉลี่ยได้นานนับสิบปีก่อนจะปรับลง) การเข้าเร็วเกินไปอาจทำให้พอร์ตสูญเสียโอกาสหรือขาดทุนได้
  • ปัจจัยพื้นฐานที่แตกต่าง: สินทรัพย์แต่ละประเภทมี คุณลักษณะต่างกันหุ้นให้เงินปันผล, อสังหาฯ ให้ค่าเช่า, ทองคำไม่มีผลตอบแทนระหว่างถือ, Bitcoin มีความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีและกฎระเบียบ – อัตราส่วนราคาไม่ได้สะท้อนคุณสมบัติเหล่านี้ ดังนั้นต้องพิจารณาควบคู่กับพื้นฐานเสมอ
  • สภาพคล่องและต้นทุนธุรกรรม: การปรับพอร์ตตามอัตราส่วนต้องคิดถึงค่าธรรมเนียมและภาษี เช่น ขายบ้านมาเป็นทองมีต้นทุนสูงและใช้เวลามาก ต่างจากขายหุ้นเป็นเงินซึ่งทำได้เร็วกว่า
  • ความไม่แน่นอนของอนาคต: ประวัติศาสตร์ให้แนวทาง แต่ไม่รับประกันอนาคต เช่น โครงสร้างเศรษฐกิจเปลี่ยน เทคโนโลยีใหม่ (อย่างคริปโต) อาจทำให้ “ค่าเฉลี่ยใหม่” ของอัตราส่วนต่างไปจากอดีต ดังนั้นควรใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการตัดสินใจ ไม่ใช่สูตรตายตัว

 

สรุป

การเปรียบเทียบมูลค่าของสินทรัพย์ต่างๆ ผ่านอัตราส่วนอย่าง Dow/Gold, Gold/Silver, Real Estate/Gold หรือ Bitcoin/Gold เป็น เครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับนักลงทุนในการมองภาพใหญ่ ของตลาด ช่วยบอกเราได้ว่าสินทรัพย์ใดอาจกำลังถูกหรือแพงเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับอีกสินทรัพย์หนึ่งและเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การแปลความหมายต้องทำด้วยความระมัดระวัง เข้าใจบริบทของแต่ละยุคสมัย และไม่ยึดติดกับตัวเลขเพียงอย่างเดียว นักลงทุนทั่วไปสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ควบคู่กับกลยุทธ์การลงทุนอื่นๆ เช่น การจัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยง (diversification) ตามคำแนะนำของ Ray Dalio ที่ว่า การกระจายการลงทุนคือจอกศักดิ์สิทธิ์ของการลงทุน” เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงลงโดยไม่ลดผลตอบแทนที่คาดหวัง การพิจารณาสัดส่วนของสินทรัพย์หลายประเภทในพอร์ต (หุ้น ทองคำ เงิน อสังหาฯ Bitcoin) และการปรับให้เหมาะสมกับภาวะตลาดตามแนวคิด relative valuation จึงเป็นแนวทางที่ช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว และช่วยให้นักลงทุนไม่ตกอยู่ในกับดักการถือสินทรัพย์ที่กำลังแพงเกินไปหรือการตื่นตระหนกขายสินทรัพย์ที่กำลังถูกเกินไป ทั้งหมดนี้สนับสนุนให้นักลงทุนตัดสินใจอย่างมีข้อมูลและมีเหตุผล รองรับการวางแผนการเงินในทุกสภาวะตลาดอย่างมั่นใจ

 

อ้างอิง:

  • Longtermtrends – Dow to Gold Ratio
  • Longtermtrends – Gold to Silver Ratio
  • Longtermtrends – Real Estate to Gold Ratio
  • Longtermtrends – Bitcoin vs. Gold (Bitcoin to Gold Ratio)
  • GoldSilver.com – Gold’s Staying Power: Why the Original Store of Value Outshines Bitcoin
  • JMBullion – US Home to Gold Ratio
  • Kinesis.money – What the Dow-to-Gold ratio signals for the market

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น