การเปรียบเทียบมูลค่าสินทรัพย์ด้วยวิธีประเมินมูลค่าเชิงสัมพัทธ์
(Relative Valuation)
ในการลงทุน การประเมินมูลค่าเชิงสัมพัทธ์ (Relative
Valuation) คือการเปรียบเทียบมูลค่าของสินทรัพย์ชนิดหนึ่งกับอีกชนิดหนึ่ง
แทนที่จะดูมูลค่าแบบสัมบูรณ์ (absolute) เช่น
ราคาดอลลาร์เพียงอย่างเดียว แนวคิดนี้ช่วยให้นักลงทุนเห็นว่าสินทรัพย์ใด “แพง”
หรือ “ถูก” เมื่อเทียบกัน โดยอาศัย อัตราส่วน (ratio) ระหว่างราคาสินทรัพย์สองชนิด ตัวอย่างเช่น การเทียบดัชนีหุ้นกับราคาทองคำ
หรือราคาทองคำกับราคาเงิน ฯลฯ อัตราส่วนเหล่านี้ไม่มีหน่วยเงินตราเข้ามาเกี่ยวข้อง
ทำให้ผลของเงินเฟ้อถูกตัดออกไป เหลือเพียงมูลค่าของสินทรัพย์สองชนิดเทียบกัน
นักลงทุนนิยมใช้ข้อมูลประวัติศาสตร์ระยะยาวของอัตราส่วนเหล่านี้เพื่อหาสัญญาณว่าสินทรัพย์ใดกำลังอยู่ในช่วงถูกหรือแพงเป็นพิเศษ
เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยหรือเมื่อเทียบกับอดีต
อัตราส่วน Dow/Gold – หุ้นเทียบกับทองคำ
ภาพที่ 1: กราฟอัตราส่วน
Dow/Gold (ดัชนีดาวโจนส์เทียบราคาทองคำ) ย้อนหลัง 100
ปี
ความหมาย: อัตราส่วน
Dow/Gold หมายถึงจำนวนออนซ์ทองคำที่ต้องใช้ในการซื้อหุ้นทั้งหมดในดัชนี
Dow Jones Industrial Average (Dow Jones) ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นใหญ่ของสหรัฐฯ
หากค่า ratio สูง แปลว่า หุ้น (Dow) มีมูลค่าสูงเมื่อเทียบกับทองคำ (ต้องใช้ทองคำเยอะในการซื้อหุ้น)
ในทางกลับกัน หาก ratio ต่ำ แปลว่า ทองคำ มีมูลค่าสูงกว่าเมื่อเทียบกับหุ้น
(ใช้ทองคำน้อยลงในการซื้อหุ้น) ดังนั้น Dow/Gold ratio เปรียบเสมือนเครื่องชี้ว่าตอนนี้หุ้นแพงหรือถูกเมื่อเทียบกับทองคำ
โดยไม่มีหน่วยเงินดอลลาร์มาเกี่ยวข้อง
การตีความเชิงประวัติ: ค่า Dow/Gold ratio เปลี่ยนแปลงขึ้นลงเป็นวัฏจักรตามสภาพตลาดในแต่ละยุคสมัย
จุดสูงสุดหรือต่ำสุดของอัตราส่วนนี้มัก เกิดพร้อมกับจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดหุ้นและทองคำ
ยกตัวอย่างเช่น:
- ช่วงที่หุ้นแพงจัดเทียบกับทองคำ: ในอดีตปี 1929,
1966 และ 1999 ค่า Dow/Gold
ratio พุ่งขึ้นจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ซึ่งสอดคล้องกับช่วงดัชนีหุ้นทำจุดสูงสุดก่อนเกิดการปรับฐานใหญ่ (เช่น
วิกฤตเศรษฐกิจหรือฟองสบู่แตก) นักลงทุนที่สังเกตเห็น ratio สูงผิดปกติในช่วงนั้นจะทราบว่าหุ้นมีราคาค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับทอง
- ช่วงที่หุ้นถูกมากเทียบกับทองคำ: ตรงกันข้าม
ในปี 1932 (หลังวิกฤตเศรษฐกิจ Great
Depression) และปี 1980 (ช่วงที่ราคาทองคำพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ขณะนั้น)
ค่า Dow/Gold ratio ลดลงแตะระดับต่ำสุด (ใกล้เคียง 1
ต่อ 1 หรือ 2 ต่อ 1)
นั่นคือใช้ทองคำเพียงประมาณ 1–2 ออนซ์ก็ซื้อหุ้นในดัชนี
Dow Jones ได้ทั้งชุด
เหตุการณ์นี้บ่งชี้ว่าหุ้นถูกผิดปกติเมื่อเทียบกับทองคำในเวลานั้น
ช่วงปี 1980 ถือเป็นตัวอย่างสุดขั้ว:
ดัชนี Dow Jones อยู่ราว 800 จุด
ขณะที่ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะประมาณ 800 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ซึ่งทำให้ Dow/Gold ratio ≈ 1 (ซื้อหุ้นทั้งดัชนีด้วยทอง
~1 ออนซ์) ถือเป็นจุดต่ำสุดทางประวัติศาสตร์ของอัตราส่วนนี้
ต่อมาหลังปี 1980 เป็นต้นมา หุ้นสหรัฐฯ เข้าสู่ ตลาดกระทิง
รอบใหญ่ ในขณะที่ราคาทองคำปรับฐานลง ส่งผลให้ Dow/Gold ratio สูงขึ้นยาวนาน ในปี 1999 ค่า ratio นี้ขึ้นไปแตะประมาณ 40 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดช่วงฟองสบู่ดอทคอม
ก่อนที่จะแตกในปี 2000
การใช้วิเคราะห์ตลาด: เมื่อค่า Dow/Gold ratio สูงมากผิดปกติ
(หุ้นแพงเมื่อเทียบกับทอง) นักลงทุนบางส่วนอาจมองว่าเป็นสัญญาณเตือน ภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้น
และพิจารณาลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นลง
หรือย้ายส่วนหนึ่งไปสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ เพราะมีโอกาสที่หุ้นจะปรับฐาน
ส่วนทองคำอาจปรับขึ้นเพื่อปรับสมดุล เช่นเดียวกัน หาก ratio ต่ำมาก
(หุ้นถูกเทียบกับทอง) ก็บ่งชี้ว่าอาจถึงจุดที่ ทองคำแพงและหุ้นถูก จนน่าสนใจที่จะทยอยกลับเข้าลงทุนในหุ้นมากขึ้น
เป็นต้น ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติ การเปลี่ยนแปลงทิศทางของ Dow/Gold
ratio มักเกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนวงจรเศรษฐกิจ และการโยกย้ายเม็ดเงินลงทุน: เมื่อหุ้นเริ่มอ่อนแอกว่าทอง
นักลงทุนมักย้ายเงินจากตลาดหุ้นไปสินทรัพย์ปลอดภัย (ทองคำ เงิน น้ำมัน)
ซึ่งมักเกิดขึ้นก่อนหรือในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ดังนั้น การเฝ้าดูเทรนด์ของ Dow/Gold
ratio ประกอบกับปัจจัยเศรษฐกิจอื่น ช่วยให้นักลงทุนจับสัญญาณการ หมุนเวียนเงินทุน
(capital rotation) ระหว่างสินทรัพย์เสี่ยงและสินทรัพย์ปลอดภัยได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ควรย้ำว่า ค่าอัตราส่วนที่สูงหรือต่ำเป็นพิเศษอาจดำรงอยู่เป็นเวลานานก่อนตลาดจะกลับทิศ
เช่น ในยุคปลายทศวรรษ 1990 หุ้นสหรัฐฯ
ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทำให้ Dow/Gold ratio สูงผิดปกติอยู่หลายปีกว่าจะเกิดการปรับฐานใหญ่
ดังนั้นนักลงทุนจึงไม่ควรใช้สัญญาณนี้เพียงอย่างเดียวในการจับจังหวะตลาด
แต่ควรประยุกต์ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ เช่น ภาวะเศรษฐกิจ แนวโน้มดอกเบี้ย
และการวิเคราะห์ทางเทคนิค
อัตราส่วน Gold/Silver – ราคาทองคำเทียบกับราคาเงิน
ภาพที่ 2: กราฟแสดงค่า Gold/Silver
Ratio (อัตราส่วนราคาทองคำต่อราคาสินแร่เงิน) จะเห็นว่าอัตราส่วนนี้แกว่งตัวขึ้นลงตามวัฏจักร
โดยจุดสูงสุด 125:1 เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตโควิดปี 2020
ความหมาย: Gold/Silver
Ratio แสดงจำนวนออนซ์ของ เงิน (Silver) ที่มีค่าเท่ากับทองคำ 1 ออนซ์ในราคาตลาดปัจจุบัน
คำนวณโดยเอา ราคาทองคำ (ต่อออนซ์) หารด้วย ราคาเงิน (ต่อออนซ์) เช่น
หากราคาทองคำอยู่ที่ 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ และราคาเงิน 25
ดอลลาร์/ออนซ์ อัตราส่วน Gold/Silver จะเท่ากับ
72 หมายความว่าทองคำ 1 ออนซ์มีมูลค่าเท่ากับเงิน
72 ออนซ์
อัตราส่วนนี้นิยมใช้ในหมู่นักลงทุนโลหะมีค่าเพื่อประเมินว่าระหว่างทองกับเงิน อะไรแพงหรูกว่ากันในเชิงสัมพัทธ์
และมักใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจลงทุนในทองหรือเงิน
การตีความ: ในทางประวัติศาสตร์
อัตราส่วนทองคำต่อเงินนี้มีความผันผวนสูงมาก
ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและอุปสงค์อุปทานของโลหะทั้งสอง โดย ค่ากลางระยะยาว
ของ Gold/Silver Ratio อยู่ราว ๆ 50–60 ครั้ง (ในศตวรรษที่ 20) แต่ในบางยุคสมัยก็แกว่งไปสุดขั้วทั้งสองด้าน:
- อัตราส่วนสูงมาก (เกิน ~80–100) – หมายถึง ทองคำแพงเมื่อเทียบกับเงิน
(หรือพูดอีกด้านว่า “เงิน”
มีราคาถูกกว่าทองมากเมื่อเทียบปริมาณ) สถานการณ์นี้มักบ่งชี้โอกาสที่ราคาเงินอาจปรับขึ้นแรงกว่าทองในอนาคต
เพราะเงินมีแนวโน้มจะ “ตาม” ราคาทองคำขึ้นไปเมื่ออัตราส่วนสูงผิดปกติ
ยกตัวอย่างล่าสุด ในช่วงเดือนมีนาคม 2020 เกิดวิกฤตโควิด
ราคาทองคำปรับขึ้นเพราะนักลงทุนแห่ถือสินทรัพย์ปลอดภัย
ขณะที่ราคาเงินปรับลงเนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้อัตราส่วน Gold/Silver
พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเกือบ 125:1 (ทอง 1 ออนซ์ = เงิน 125 ออนซ์)
นับเป็นค่าสูงสุดในรอบหลายร้อยปีเลยทีเดียว
หลังจากนั้นราคาสินแร่เงินปรับตัวขึ้นแรงในช่วงปี 2020–2021 ทำให้อัตราส่วนนี้ลดลงมาอย่างรวดเร็ว นี่เป็นตัวอย่างว่าช่วงที่ ratio
สูงมากๆ เงิน (ซึ่งราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับทอง)
สามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าเมื่อตลาดกลับสู่สมดุล
- อัตราส่วนต่ำมาก (ต่ำกว่า ~40 หรือต่ำสุดเป็นประวัติการณ์)
– หมายถึง เงินมีราคาแพงกว่าเมื่อเทียบกับทอง (ทอง 1 ออนซ์แลกเงินได้น้อยลง)
กรณีนี้บ่งชี้ว่าอาจถึงช่วงที่ราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้นหรือเงินอาจปรับลงเพื่อกลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ย
ตัวอย่างเช่น ช่วงปี 1980 ที่เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงและการเก็งกำไรโลหะมีค่า
ราคาสินแร่เงินพุ่งขึ้นอย่างมาก (เพราะกลุ่มนักลงทุนพี่น้อง Hunt
corner ตลาดเงิน) จน Gold/Silver ratio ลดลงเหลือประมาณ
15:1 (ทองคำแพงกว่าเงินแค่ 15 เท่า) ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในความทรงจำยุคใหม่
หลังจากนั้นราคาเงินก็ย่อตัวลงแรง ทำให้อัตราส่วนปรับขึ้นอีกครั้ง
บริบททางประวัติศาสตร์: น่าสังเกตว่าในอดีตหลายร้อยปีที่ผ่านมาที่ระบบเงินตราใช้อมิสร (bimetallic
standard) รัฐบาลมักกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนทองคำต่อเงินไว้ค่อนข้างคงที่
เช่น จักรวรรดิโรมันกำหนดไว้ที่ 12:1 และรัฐบาลสหรัฐฯ
ในปี 1792 กำหนดไว้ 15:1 ตามกฎหมาย
Coinage Act ซึ่งแตกต่างจากยุคปัจจุบันที่ราคาเป็นไปตามกลไกตลาดเต็มที่
อัตราส่วนจึงผันผวนตามอุปสงค์อุปทานอย่างเสรี อย่างไรก็ตาม
การรับรู้ค่าเฉลี่ยในอดีต (เช่น ~15 ในยุคมาตรฐานทองคำ หรือ ~50–60
ในศตวรรษ 20) ช่วยให้นักลงทุนพิจารณาได้ว่าค่า
Gold/Silver Ratio ณ ปัจจุบันสูงหรือต่ำกว่าค่าปกติ
และอาจปรับพอร์ตลงทุนตามมุมมองนั้น
การประยุกต์ใช้: นักลงทุนบางรายใช้กลยุทธ์สับเปลี่ยนการถือครองทองกับเงินตามค่าอัตราส่วนนี้
เช่น
- เมื่อใดที่ Gold/Silver Ratio สูงมากผิดปกติ
(เช่น >80 หรือ 100 ขึ้นไป) ก็จะเพิ่มการถือครอง “เงิน” มากขึ้น
เนื่องจากเชื่อว่าเงินมีโอกาสราคาขึ้น (ให้ผลตอบแทนดีกว่าทองในระยะถัดไป)
หรืออาจสลับจากทองบางส่วนไปซื้อเงิน
เพราะมองว่าเงินถูกกว่าเมื่อเทียบกับมูลค่าทองในช่วงนั้น
- ในทางกลับกัน ถ้า Gold/Silver Ratio ต่ำมาก ใกล้ระดับประวัติการณ์ (เช่น ต่ำกว่า 30) ก็อาจเพิ่มสัดส่วน
“ทองคำ” เพราะทองอาจจะปรับขึ้นหรืออย่างน้อยมีความเสี่ยงขาลงน้อยกว่าเงินที่ราคาอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกัน
ทั้งนี้
ราคาทองและเงินมักเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันเป็นส่วนใหญ่
(มีความสัมพันธ์เชิงบวกสูง) ตามภาวะตลาดโลหะมีค่าและเศรษฐกิจ เช่น
ช่วงตลาดกระทิงของทองคำ ก็มักจะดึงให้ราคาเงินขึ้นตาม (ถึงแม้ % อาจต่างกัน)
ด้วยเหตุนี้ การตัดสินใจลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นควบคู่ เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจ
ความต้องการอุตสาหกรรมของเงิน (เงินมีการใช้ในอุตสาหกรรม ~60% ของอุปสงค์ทั้งหมด
ซึ่งต่างจากทองที่ใช้เพื่อการลงทุนและเครื่องประดับเป็นหลัก) รวมถึงค่าเงินดอลลาร์
เป็นต้น
อัตราส่วน Real Estate/Gold – อสังหาริมทรัพย์เทียบกับทองคำ
ความหมาย: อัตราส่วน
Real Estate/Gold ต้องการบอกว่า ต้องใช้ทองคำกี่ออนซ์ในการซื้อบ้านเดี่ยวหนึ่งหลัง
โดยทั่วไปมักใช้ ดัชนีราคาบ้าน (เช่น Case-Shiller Home Price
Index ของสหรัฐฯ) เทียบกับราคาทองคำ เพื่อดูว่าอสังหาริมทรัพย์แพงขึ้นหรือลดลงเมื่อวัดเป็นหน่วยทองคำ
เนื่องจากราคาบ้านและราคาทองต่างก็ขึ้นลงตามภาวะเงินเฟ้อและปัจจัยเศรษฐกิจ
การนำมาหารกันจะช่วยตัดผลของเงินเฟ้อออก และวัด “มูลค่าสัมพัทธ์”
ของของสองสิ่งที่เป็นสินทรัพย์จริง (tangible assets) ได้อย่างมีความหมาย
การตีความ: เช่นเดียวกับ
Dow/Gold ratio อัตราส่วน บ้าน:ทอง
นี้สามารถบอกเป็นนัยได้ว่าในช่วงเวลาหนึ่ง บ้านราคาแพงหรือถูกเมื่อเทียบกับทองคำ
ข้อมูลในอดีตของสหรัฐฯ พบว่าช่วงที่อัตราส่วนนี้สูงมาก
มักเป็นยุคที่ราคาบ้านพุ่งสูง (อาจจะเพราะเศรษฐกิจขยายตัว
การปล่อยสินเชื่อเฟื่องฟู) ขณะที่ราคาทองคำไม่ขึ้นมาก หรืออาจอยู่ในขาลง ส่วนช่วงที่อัตราส่วนต่ำมาก
มักเป็นช่วงที่ราคาทองคำทะยานขึ้นอย่างมาก (เช่น ช่วงเงินเฟ้อสูงหรือวิกฤต)
ขณะที่ตลาดอสังหาฯ ซบเซาหรือราคาบ้านปรับลง
ตัวอย่างเชิงตัวเลข: ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา เคยมีช่วงที่ต้องใช้ทองมากถึง ~800 ออนซ์ในการซื้อบ้านเฉลี่ย 1 หลัง (เกิดขึ้นราวช่วงฟองสบู่ดอตคอมปี 2001 ที่ราคาทองคำต่ำและอสังหาฯ
สหรัฐฯ กำลังเริ่มบูม) และเคยมีช่วงที่ใช้ทองเพียง ~100 ออนซ์ต่อบ้าน
1 หลัง (ในปี 1980 เมื่อทองคำราคาสูงมากจากวิกฤตเงินเฟ้อ ขณะที่อสังหาฯ ยังไม่ฟื้นตัว) ความแตกต่างจาก
800 → 100 ออนซ์นี้แสดงถึงวัฏจักรใหญ่ของมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างบ้านกับทองคำ:
- เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว ตลาดหุ้นและอสังหาฯ รุ่ง ราคาทองคำมักซบเซา → Real
Estate/Gold ratio สูงขึ้น (ถือบ้านให้ผลตอบแทนดีกว่าถือทองในช่วงนั้น)
- เมื่อเกิดวิกฤตหรือเงินเฟ้อสูง
นักลงทุนสูญความเชื่อมั่นในสินทรัพย์การเงิน หันไปหาทองคำ → ราคาทองพุ่ง
ขณะที่อสังหาฯ ชะลอตัวหรือตกลง ทำให้ Real Estate/Gold ratio ดิ่งลง (ทองคำมีมูลค่าเพิ่มเมื่อเทียบกับบ้าน)
การใช้วิเคราะห์: สำหรับนักลงทุนทั่วไป
อัตราส่วนนี้อาจดูไกลตัวกว่า Dow/Gold หรือ Gold/Silver
เพราะการโยกเงินระหว่าง “บ้าน” กับ “ทองคำ” ไม่ได้ทำได้ง่ายหรือบ่อย
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้มีประโยชน์ในการประเมินภาพใหญ่ของตลาด อสังหาริมทรัพย์เทียบกับสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง
(hedge) อย่างทองคำ เช่น
หากในขณะใดขณะหนึ่ง ราคาบ้านขึ้นสูงมากเมื่อวัดเป็นทองคำ (อัตราส่วนสูงกว่าค่าเฉลี่ยประวัติศาสตร์มาก)
ก็อาจบ่งชี้ว่าตลาดบ้านเริ่มตึงตัวและทองคำอาจ undervalued (ราคายังไม่สะท้อนความเสี่ยงเศรษฐกิจ)
นักลงทุนที่มีทั้งบ้านและทองในพอร์ตอาจพิจารณาปรับสัดส่วน เช่น ขายอสังหาฯ
บางส่วนหรือชะลอการซื้อบ้านใหม่ แล้วเพิ่มการถือครองทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง
เป็นต้น ตรงข้ามกัน หาก ราคาทองขึ้นสูงมากเมื่อเทียบกับอสังหาฯ (อัตราส่วนต่ำมาก บ้านแลกได้ด้วยทองน้อยลงเรื่อยๆ)
ก็อาจเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาฯ
เนื่องจากบ้านอาจมีมูลค่าถูกลงเมื่อคิดในหน่วยทองคำ (เช่น
ช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจที่ทองราคาพุ่ง แต่บ้านราคาตก)
แน่นอนว่าการตัดสินใจลงทุนในบ้านหรือทองจริง ๆ
ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นอีกมาก เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ภาวะฟองสบู่ในอสังหาฯ
การเช่าปล่อยสินทรัพย์ และสภาพคล่อง (บ้านขายเปลี่ยนเงินยากกว่าทอง) เป็นต้น
แต่การติดตาม Real Estate/Gold ratio อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจ
จุดกลับตัวระยะยาวของเทรนด์ราคาสินทรัพย์จริง ได้ดีขึ้น
จากงานวิจัยพบว่าอัตราส่วนนี้มีประวัติช่วยชี้ จุดกลับแนวโน้มขาขึ้น-ขาลงของทองคำในระยะยาว
ได้พอสมควร เช่น เมื่อบ้านแพงมากเทียบกับทอง (ทอง undervalued) ก็มักเป็นจุดที่อีกไม่นานทองคำจะเริ่มเข้าสู่รอบขาขึ้นใหญ่
และในทางกลับกัน
อัตราส่วน Bitcoin/Gold – Bitcoin เทียบกับทองคำ
ความหมาย: อัตราส่วน
Bitcoin/Gold บ่งบอกว่า ต้องใช้ทองคำกี่ออนซ์ในการซื้อ
Bitcoin 1 เหรียญ โดยคำนวณจาก
ราคาของ 1 BTC (Bitcoin) หารด้วยราคาทองคำต่อออนซ์ หากอัตราส่วนนี้เพิ่มขึ้น แปลว่า Bitcoin ให้ผลตอบแทนดีกว่าทองในช่วงนั้น
(ราคาบิตคอยน์ขึ้นแรงกว่าทองหรือทองลงขณะที่บิตคอยน์ขึ้น)
แต่ถ้าอัตราส่วนลดลงก็แปลว่า ทองคำกำลังชนะบิตคอยน์ (ราคาทองขึ้นหรือบิตคอยน์ลง)
กล่าวอีกนัยหนึ่ง Bitcoin/Gold ratio เป็นการวัด มูลค่าของ
“ทองคำดิจิทัล” (Bitcoin) เทียบกับ ทองคำจริง
ซึ่งทั้งคู่ได้ชื่อว่าเป็นสินทรัพย์เพื่อการเก็บรักษามูลค่า (store of
value) เหมือนกันในสายตานักลงทุนกลุ่มหนึ่ง
การตีความ: Bitcoin ถือกำเนิดในปี 2009 จึงมีข้อมูลประวัติของอัตราส่วนนี้เพียงประมาณหนึ่งทศวรรษกว่าๆ
แต่ก็เห็นความผันผวนมหาศาลตามราคา Bitcoin ที่ขึ้นลงแบบพาราโบลาเป็นช่วงๆ
ยกตัวอย่างเช่น:
- ในช่วงต้นปี 2017 Bitcoin/Gold ratio เคยอยู่ประมาณ
1x (BTC 1 เหรียญมีค่า ~ ทอง
1 ออนซ์)
จากนั้นราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ปลายปี 2017 ratio นี้ขึ้นไปสูงกว่า 15x (BTC 1 เหรียญ ≈ ทอง 15 ออนซ์) ก่อนที่ฟองสบู่คริปโตจะแตกในปี 2018
ส่งผลให้อัตราส่วนร่วงลงมาเหลือต่ำกว่า 5x ในปี 2019
- ช่วงขาขึ้นถัดมาในปี 2020–2021 Bitcoin ราคาทะยานอีกครั้งจากกระแสการลงทุนทั่วโลก
ทำให้ Bitcoin/Gold ratio แตะระดับสูงราว 20–30x
(บิตคอยน์แพงกว่าทอง 20-30 เท่า)
ก่อนจะปรับฐานในปี 2022 ในขณะที่ทองคำปรับขึ้น
จนอัตราส่วนลดลงมา ปัจจุบัน (กลางปี 2025) Ratio นี้อยู่แถวหลักสิบต้นๆ
ตัวเลขทางประวัติ: จากบทวิเคราะห์หนึ่งระบุว่าอัตราส่วน
Bitcoin/Gold นั้นต่ำสุดเคยลงไปใต้ระดับ 3x ในปี 2019 และขึ้นไปสูงเกือบ 26x ในปี 2021 โดยระดับประมาณ 10x ดูเหมือนเป็นจุดสมดุลช่วงปี 2017-2023 ที่ผ่านมา
(เคยเป็นแนวรับแนวต้านหลายครั้ง) ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึง ความผันผวนสูง
ของ Bitcoin เมื่อเทียบกับทองคำ
ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวช้ากว่า ดังนั้น Bitcoin/Gold ratio จึงอาจพุ่งขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็วตามภาวะตลาดคริปโต
การวิเคราะห์เชิงคุณค่า: นักลงทุนบางส่วนเปรียบเทียบ Bitcoin กับทองคำเพราะทั้งคู่มีลักษณะคล้ายกันคือ
มีจำนวนจำกัด (ทองคำมีเท่าไรก็เท่านั้นในโลก
ขุดเพิ่มได้จำกัด ส่วน Bitcoin ถูกกำหนดให้มีไม่เกิน 21
ล้านเหรียญ และมีการลดปริมาณการผลิตลงครึ่งหนึ่งทุกๆ ~4 ปี) และไม่ได้ถูกควบคุมโดยรัฐบาลกลางโดยตรง
นอกจากนี้ยังใช้เป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากการอ่อนค่าของเงินเฟียต (Fiat
Currency Debasement) ทั้งคู่ อย่างไรก็ดี
ทองคำมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปีในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ส่วน Bitcoin เพิ่งเกิดไม่นานและยังมีความผันผวนสูง
รวมถึงยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายแบบทองคำ
การใช้วิเคราะห์และข้อควรระวัง: การที่ Bitcoin/Gold ratio สูงมากหมายถึงมูลค่า Bitcoin
เพิ่มขึ้นเร็วกว่าทองมาก
ผู้ที่ถือบิตคอยน์ได้กำไรสูงเมื่อเทียบกับถือทองในช่วงนั้น
แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงสูง หากกระแสเปลี่ยนทิศ อัตราส่วนสามารถลดฮวบได้เร็ว
(เพราะราคาบิตคอยน์ลดแรงกว่าทอง) ดังที่เกิดขึ้นหลายครั้ง เช่น หลังปี 2017
และ 2021 เป็นต้น
นักลงทุนที่มองอัตราส่วนนี้อาจใช้เป็นสัญญาณคร่าวๆ ในการปรับพอร์ต crypto
vs. ทองคำ เช่น:
- เมื่อ Bitcoin พุ่งแรงจน Ratio สูงผิดปกติ อาจพิจารณา ขายทำกำไรบางส่วนของ Bitcoin
มาเก็บเป็นทองคำ เพื่อล็อกกำไรและลดความเสี่ยง
(แนวคิดเดียวกับ rebalancing เพื่อลดสินทรัพย์ที่ขึ้นเยอะและเพิ่มสินทรัพย์ที่ขึ้นน้อยกว่า)
- เมื่อ Bitcoin ดิ่งลงจน Ratio ต่ำมาก (เช่น ช่วงตลาดหมีคริปโต) และยังเชื่อมั่นในระยะยาว อาจค่อยๆ ทยอยสะสม
Bitcoin เพิ่ม เพราะในเชิงสัมพัทธ์ทองคำแข็งค่ากว่ามากไปแล้ว
มีโอกาสที่เมื่อคริปโตฟื้น Ratio จะดีดกลับ
ทั้งนี้ ควรระลึกว่า ประวัติของ Bitcoin
ยังสั้น การตีความอัตราส่วนนี้จึงอาจไม่น่าเชื่อถือเท่าสินทรัพย์อื่นๆ
ที่มีข้อมูลหลายสิบปี และ Bitcoin มีปัจจัยเฉพาะตัวที่แตกต่าง
เช่น ความคาดหวังเทคโนโลยี กฎระเบียบ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ซึ่งอาจพลิกผันรวดเร็ว ดังนั้น Bitcoin/Gold ratio ควรใช้เป็นเพียงข้อมูลเสริมภาพใหญ่
ไม่ใช่เครื่องมือเดียวในการตัดสินใจลงทุน
การนำอัตราส่วนเหล่านี้ไปใช้ในการวางแผนลงทุน
เมื่อเข้าใจความหมายและนัยของอัตราส่วนมูลค่าเชิงสัมพัทธ์ต่างๆ
แล้ว
นักลงทุนทั่วไปสามารถนำไปปรับใช้ในการวิเคราะห์และวางแผนการลงทุนจริงได้หลายวิธี
ดังต่อไปนี้
1.
การปรับสัดส่วนพอร์ตลงทุน (Portfolio
Rebalancing): อัตราส่วนเหล่านี้ช่วยชี้ว่าสินทรัพย์ใดปรับตัวขึ้นมากจนแพงเมื่อเทียบกับอีกสินทรัพย์หนึ่ง
การทำ rebalancing คือการขายสินทรัพย์ที่ราคาขึ้นมา “เกินมูลค่า”
(เมื่อเทียบสัดส่วนประวัติ) แล้วนำเงินไปซื้อสินทรัพย์ที่ “ต่ำกว่ามูลค่า”
จะช่วยรักษาสมดุลพอร์ตและล็อกกำไรบางส่วน ตัวอย่างเช่น:
o หาก Dow/Gold ratio สูงขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ย
(หุ้นแพงกว่าทองมาก)
นักลงทุนที่มีทั้งหุ้นและทองในพอร์ตอาจขายหุ้นบางส่วนออกมาเปลี่ยนเป็นทองคำเพิ่ม
เพื่อลดความเสี่ยงกรณีหุ้นปรับฐานในอนาคต
o หรือหาก Gold/Silver ratio พุ่งสูงผิดปกติ
(ทองแพงกว่าเงินมาก) ผู้ลงทุนในโลหะมีค่าอาจปรับลดทองคำในพอร์ตลง แล้วเพิ่มการถือ เงิน
(Silver) เพราะมีแนวโน้มว่าราคาสินแร่เงินอาจปรับตัวขึ้นชดเชยให้
Ratio กลับสู่ภาวะปกติ
o ในทำนองเดียวกัน เมื่อ Bitcoin ให้ผลตอบแทนสูงมากจน Bitcoin/Gold
ratio สูงกว่าปกติเป็นอย่างมาก ก็อาจแบ่งกำไรจาก Bitcoin
ไปซื้อทองคำหรือสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นบ้าง
เพื่อป้องกันความผันผวนและรักษาพอร์ตให้สมดุลยิ่งขึ้น
2.
การหาจังหวะทยอยลงทุน (Gradual
Accumulation & Rotation): อัตราส่วนระยะยาวยังช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพวัฏจักรของสินทรัพย์ต่างๆ
และเลือกจังหวะทยอยสะสมหรือหมุนเวียนเงินลงทุนระยะยาวได้ เช่น:
o เมื่อตลาดหุ้นผ่านช่วงตกต่ำครั้งใหญ่และ Dow/Gold ratio อยู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายสิบปี (หุ้นถูกมากเมื่อเทียบกับทอง)
เช่น หลังวิกฤตใหญ่ นักลงทุนระยะยาวอาจมองว่านี่คือโอกาสสะสมหุ้นเพิ่ม (เพราะมี Upside
สูงกว่าในระยะถัดไป) โดยอาจลดการถือทองคำลงบางส่วน
o ถ้า Real Estate/Gold ratio ลดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาก
(บ้านแลกได้ด้วยทองน้อยลงเรื่อยๆ) ผู้ที่สนใจอสังหาฯ
อาจเห็นเป็นจังหวะเข้าสะสมทรัพย์สินจริง เช่น ซื้อบ้านหรือที่ดินเพิ่ม
เพราะได้มูลค่าในเชิงเปรียบเทียบดีกว่าช่วงที่บ้านแพง
o ในตลาดโลหะมีค่า หาก Gold/Silver ratio สูงกว่าค่าเฉลี่ยมากๆ
นักลงทุนระยะยาวอาจทยอยซื้อสะสม โลหะเงิน เพิ่ม (เพราะคาดว่าเมื่อวงจรกลับ
เงินจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า) และเมื่อ ratio นี้ลดลงต่ำมากๆ
ก็อาจทยอยสลับกลับมาถือ ทองคำ มากขึ้น
o สำหรับ Bitcoin กับสินทรัพย์ดั้งเดิม ผู้ลงทุนอาจใช้ข้อมูล ratio (เช่น Bitcoin/Gold
หรือเทียบดัชนีหุ้น)
เพื่อปรับสัดส่วนเมื่อเห็นฟองสบู่หรือความร้อนแรงเกินไป เช่น ปี 2021 ที่ Bitcoin มูลค่าพุ่งขึ้นมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้น
(ราคาบิตคอยน์เข้าใกล้มูลค่าดัชนี Dow Jones) ก็อาจเป็นสัญญาณให้ลดความร้อนแรงของพอร์ตคริปโตลง
เป็นต้น
3.
การมองภาพใหญ่และบริหารความเสี่ยง: ต่อให้ไม่ได้โยกเงินบ่อยตามอัตราส่วน
แต่อย่างน้อยการติดตามแนวโน้มอัตราส่วนเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุน เข้าใจความสัมพันธ์ของสินทรัพย์ต่างประเภท:
o ช่วงไหนที่กราฟ Dow/Gold เริ่มดิ่งลงต่อเนื่อง
อาจสะท้อนความไม่มั่นใจของตลาดต่อเศรษฐกิจ (คนย้ายเงินไปทอง)
นักลงทุนก็อาจเตรียมพอร์ตให้รับมือภาวะวิกฤตได้ดีขึ้น (เช่น เพิ่มสินทรัพย์ปลอดภัย
ลดหุ้นที่เสี่ยง)
o ช่วงไหน Gold/Silver เข้าใกล้สุดขั้วด้านใดด้านหนึ่ง
ก็อาจคาดหมาย การปรับฐาน (mean reversion) ของราคาทองหรือเงินในอนาคตได้
และจัดกลยุทธ์ไว้ล่วงหน้า
o การทราบว่า Real estate/Gold อยู่ในระดับใดเทียบประวัติ
ก็ช่วยในการตัดสินใจเรื่องที่อยู่อาศัยหรือการลงทุนอสังหาฯ เช่น
ถ้าแพงมากอาจชะลอการซื้อหรือขายสินทรัพย์บางส่วนออกมาก่อน เป็นต้น
ข้อจำกัดที่ต้องคำนึงถึง: แม้ว่าการเปรียบเทียบมูลค่าเชิงสัมพัทธ์จะมีประโยชน์
แต่ก็มีข้อควรระวังหลายประการ:
- ระยะเวลาของข้อมูล: อัตราส่วนเหล่านี้มีความหมายที่สุดในการมองภาพ
“ระยะยาว” ไม่เหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้น
เพราะระหว่างทางราคาสินทรัพย์อาจผันผวนจากปัจจัยชั่วคราว
- การอยู่ในระดับสุดขั้วนานกว่าคาด: สินทรัพย์สามารถ
overvalue หรือ undervalue เมื่อเทียบกันได้นานกว่าที่เราคิด
(เช่น Dow/Gold ratio อยู่ระดับสูงเกินค่าเฉลี่ยได้นานนับสิบปีก่อนจะปรับลง)
การเข้าเร็วเกินไปอาจทำให้พอร์ตสูญเสียโอกาสหรือขาดทุนได้
- ปัจจัยพื้นฐานที่แตกต่าง: สินทรัพย์แต่ละประเภทมี
คุณลักษณะต่างกัน – หุ้นให้เงินปันผล, อสังหาฯ ให้ค่าเช่า, ทองคำไม่มีผลตอบแทนระหว่างถือ,
Bitcoin มีความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีและกฎระเบียบ –
อัตราส่วนราคาไม่ได้สะท้อนคุณสมบัติเหล่านี้
ดังนั้นต้องพิจารณาควบคู่กับพื้นฐานเสมอ
- สภาพคล่องและต้นทุนธุรกรรม: การปรับพอร์ตตามอัตราส่วนต้องคิดถึงค่าธรรมเนียมและภาษี
เช่น ขายบ้านมาเป็นทองมีต้นทุนสูงและใช้เวลามาก
ต่างจากขายหุ้นเป็นเงินซึ่งทำได้เร็วกว่า
- ความไม่แน่นอนของอนาคต: ประวัติศาสตร์ให้แนวทาง
แต่ไม่รับประกันอนาคต เช่น โครงสร้างเศรษฐกิจเปลี่ยน เทคโนโลยีใหม่
(อย่างคริปโต) อาจทำให้ “ค่าเฉลี่ยใหม่” ของอัตราส่วนต่างไปจากอดีต
ดังนั้นควรใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการตัดสินใจ ไม่ใช่สูตรตายตัว
สรุป
การเปรียบเทียบมูลค่าของสินทรัพย์ต่างๆ
ผ่านอัตราส่วนอย่าง Dow/Gold, Gold/Silver, Real Estate/Gold หรือ Bitcoin/Gold เป็น เครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับนักลงทุนในการมองภาพใหญ่
ของตลาด
ช่วยบอกเราได้ว่าสินทรัพย์ใดอาจกำลังถูกหรือแพงเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับอีกสินทรัพย์หนึ่งและเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม การแปลความหมายต้องทำด้วยความระมัดระวัง เข้าใจบริบทของแต่ละยุคสมัย
และไม่ยึดติดกับตัวเลขเพียงอย่างเดียว
นักลงทุนทั่วไปสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ควบคู่กับกลยุทธ์การลงทุนอื่นๆ เช่น
การจัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยง (diversification) ตามคำแนะนำของ
Ray Dalio ที่ว่า “การกระจายการลงทุนคือจอกศักดิ์สิทธิ์ของการลงทุน” เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงลงโดยไม่ลดผลตอบแทนที่คาดหวัง การพิจารณาสัดส่วนของสินทรัพย์หลายประเภทในพอร์ต
(หุ้น ทองคำ เงิน อสังหาฯ Bitcoin) และการปรับให้เหมาะสมกับภาวะตลาดตามแนวคิด
relative valuation จึงเป็นแนวทางที่ช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว
และช่วยให้นักลงทุนไม่ตกอยู่ในกับดักการถือสินทรัพย์ที่กำลังแพงเกินไปหรือการตื่นตระหนกขายสินทรัพย์ที่กำลังถูกเกินไป
ทั้งหมดนี้สนับสนุนให้นักลงทุนตัดสินใจอย่างมีข้อมูลและมีเหตุผล
รองรับการวางแผนการเงินในทุกสภาวะตลาดอย่างมั่นใจ
อ้างอิง:
- Longtermtrends
– Dow to Gold Ratio
- Longtermtrends
– Gold to Silver Ratio
- Longtermtrends
– Real Estate to Gold Ratio
- Longtermtrends
– Bitcoin vs. Gold (Bitcoin to Gold Ratio)
- GoldSilver.com
– Gold’s Staying Power: Why the Original Store of Value Outshines
Bitcoin
- JMBullion
– US Home to Gold Ratio
- Kinesis.money
– What the Dow-to-Gold ratio signals for the market
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น