วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นกับพันธบัตร (Stocks vs Bonds)

ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นกับพันธบัตร (Stocks vs Bonds)


📊 ความหมายของอัตราส่วน Stocks vs Bonds จาก LongTermTrends

เว็บไซต์ LongTermTrends แสดง อัตราส่วนระหว่าง S&P 500 (รวมผลตอบแทนแบบ total return ที่รวมเงินปันผล) กับ Total Return Bond Index เมื่ออัตราส่วนนี้ขึ้น หุ้น (stocks) ทำผลตอบแทนดีกว่า bonds และเมื่ออัตราส่วนนี้ลดลง bonds ทำผลตอบแทนดีกว่า stocks (Longterm Trends, Longterm Trends)

อัตราส่วนนี้ช่วยให้เห็นแนวโน้มระยะยาวของความเหนือกว่าของหุ้นหรือพันธบัตร อย่างชัดเจน ว่าช่วงใดหุ้น outperform bonds หรือในทางกลับกัน bonds outperform หุ้น


🧭 แนวโน้มระยะยาว: หุ้นเหนือกว่าในภาพรวม แต่ไม่เสมอไป

จากข้อมูลย้อนหลังกว่า 100 ปี พบว่า:

  • ใน ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงต้นยุค 1980s หุ้น (S&P500) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุด (real return ~6.8% ต่อปี หลังหักเงินเฟ้อ) ขณะพันธบัตรเฉลี่ยต่ำกว่า (~2.8% real return) (Wikipedia)
  • อย่างไรก็ตาม ถ้าย้อนข้อมูลไปยังศตวรรษที่ 19 หรือก่อนปี 1940 หลายประเทศพบว่าพันธบัตร (โดยเฉพาะรัฐบาล) ให้ผลตอบแทนไม่น้อยกว่าหรือดีกว่าหุ้นในบางช่วง (W. P. Carey School of Business, Wikipedia)

กล่าวคือ หุ้น outperform bonds มาตลอดก็จริงในช่วงหลัง 1940s–1980s แต่นั่นไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเสมอไป และไม่รับประกันว่าจะเกิดขึ้นเช่นเดิมในอนาคต


🔀 ความสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างหุ้นกับพันธบัตร

LongTermTrends ยังให้ข้อมูล Correlation แบบ rolling 1‑ปี ระหว่าง S&P 500 และ Total Return Bond Index ซึ่งพบว่า:

  • ในช่วงขยายตัวของเศรษฐกิจ หุ้นและพันธบัตรมักเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน (correlation เป็นบวก)
  • ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยหรือ stress ตลาด bonds มัก outperform เนื่องจากมีการโยกเงินไปสินทรัพย์ปลอดภัย และดอกเบี้ยลดตามนโยบายธนาคารกลาง ทำให้ correlation พลิกเป็นลบได้ชัดเจน (MarketWatch, Longterm Trends)

นั่นแปลว่า การมีพอร์ตที่มีทั้งหุ้นและพันธบัตรสามารถ ช่วยลดความผันผวนรวม และ ปรับสมดุลพอร์ตตามสภาวะตลาด ได้ดียิ่งกว่าการถือสินทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว


📉 อัตราส่วนหุ้นต่อพันธบัตรกับกลยุทธ์ 60/40

อัตราส่วน 60% หุ้น : 40% พันธบัตร (strategy แบบคลาสสิก) เคยเป็นแนวทางจัดสัดส่วนมาตรฐานตามหลัก Modern Portfolio Theory โดยเน้นเพิ่มผลตอบแทนเฉลี่ยต่อความเสี่ยงที่รับได้ โดยใช้ correlation เชิงลบบางช่วงเป็นประโยชน์ (Longterm Trends)

กราฟจาก LongTermTrends แสดงภาพผลตอบแทนของพอร์ตแบบ 60/40 เทียบกับการถือหุ้นหรือพันธบัตรเดี่ยว ๆ ซึ่งวิธีนี้ในอดีตช่วยลด downside ในช่วงตลาดหุ้นปรับฐาน และให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ใกล้เคียงหุ้นในช่วง bull market ทั้งยังมี drawdown น้อยกว่า


🧠 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเหนือกว่าของหุ้นหรือพันธบัตร

1. อัตราดอกเบี้ย (Interest rates)

  • เมื่อดอกเบี้ยต่ำ พันธบัตร yield ต่ำ และหุ้นดูน่าลงทุนกว่าด้วยพรีเมียม ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสูง อัตราส่วน Stocks/Bonds ขยับขึ้น
  • เมื่อดอกเบี้ยสูง หรือ central bank เร่งขึ้น พันธบัตรน่าสนใจกว่าหุ้น เพราะให้ yield ที่รับประกันและความเสี่ยงต่ำ อัตราส่วนลดลง ผู้คนหันสู่ bonds โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจเปลี่ยนโหมด

2. เศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic conditions)

  • ช่วงเศรษฐกิจถดถอย นักลงทุนมักโยกเงินไป bond safe‑haven พันธบัตร outperform
  • ช่วงขยายตัว หุ้น outperform bonds

3. Equity risk premium และ equity premium puzzle

  • การที่หุ้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรในระยะยาว (equity risk premium ~5–8%) ถือเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนยอมถือความเสี่ยงมากขึ้นในหุ้น แต่งานวิจัยบางชิ้นชี้ว่าความแตกต่างนี้อาจเป็น “puzzle” เพราะสูงกว่าที่ควรเป็นตามทฤษฎี risk aversion (W. P. Carey School of Business)

📌 สรุปแนวคิดเชิงปฏิบัติ

หัวข้อ

ความหมายต่อการลงทุน

Stocks vs Bonds Ratio

ใช้ดูว่าในระยะยาวตลาดหุ้น outperform หรือ underperform bonds

Correlation

ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย หุ้นและพันธบัตรมักเคลื่อนไหวสวนทาง ทำให้ diversification มีประโยชน์

60/40 Portfolio

ยังเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทั่วไป เพราะให้ผลตอบแทนดีและลดเสียงความผันผวน

ค่า equity premium

ยืนยันว่าหุ้นมีผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่า bonds แต่มาพร้อมความเสี่ยงและไม่ใช่ผลลัพธ์ที่รับประกันได้เสมอไป

สภาวะปัจจุบัน (2025)

ช่วงที่ดอกเบี้ยสูง yield bonds ดี หุ้นอาจถูกถือว่าแพงเมื่อเทียบ กับ yield fixed income ratio อาจเริ่มลดลง favor bonds ได้ (MarketWatch, MarketWatch, Longterm Trends, Wikipedia)


ข้อควรระวังและข้อจำกัด

  • อัตราส่วนนี้วัดจาก data เก่า ไม่ใช่ predictor อัตโนมัติไม่ได้บอกว่าพรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นหรือลง แต่ช่วยสังเกตแนวโน้มระยะยาว
  • ยูสต์เปอร์ฟอร์มมาไม่เท่ากัน หุ้นอาจขึ้นต่อเนื่องหลายปีก่อนปรับฐาน ในขณะที่ bonds yield curve ก็ผันผวนตามดอกเบี้ย
  • สภาพคล่องและ timeframe สำคัญพันธบัตรมี maturity แตกต่างกันและอาจมี duration risk สูง ส่วนหุ้นไม่มี maturity
  • ประวัติศาสตร์ไม่ใช่กฎตายตัวเช่นในศตวรรษที่ 19 bonds เคย outperform stock จำนวนมาก และอัตราผลตอบแทนในอนาคตอาจไม่เหมือนอดีต (W. P. Carey School of Business, Wikipedia)

🌱 แนวทางแนวคิดการใช้ในทางปฏิบัติ

  • นักลงทุนอาจใช้ อัตราส่วน Stocks/Bonds จาก LongTermTrends เพื่อดูบริบทระยะยาวว่าหุ้นกำลังแพงหรือถูกเมื่อเทียบกับพันธบัตร
  • เมื่ออัตราส่วนสูงมาก เช่น หุ้น outperform bonds มาหลายปี อาจพิจารณา ลดสัดส่วนหุ้นหรือเพิ่มพันธบัตร เพื่อรักษาสมดุล
  • เมื่ออัตราส่วนต่ำ เช่น bonds outperform หุ้น อาจเป็นจังหวะ เพิ่มหุ้นเพื่อสะสมเมื่อ valuation ถูก
  • การใช้กลยุทธ์ 60/40 (หรือปรับตามอายุและ risk tolerance) ยังคงเป็นแนวทางที่ปลอดภัยและพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ในหลายสภาวะตลาด
  • ควรติดตาม สัญญาณทางเศรษฐกิจ (เช่น yield curve inversion, policy ของธนาคารกลาง) เพื่อพิจารณาปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับช่วงตลาด

สรุปทิ้งท้าย

  • อัตราส่วน Stocks vs Bonds จาก LongTermTrends ช่วยให้นักลงทุนเห็นว่าในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นหรือพันธบัตรตัวใด outperform อีกฝ่าย
  • ถึงหุ้นมัก outperform bonds ในระยะยาว แต่ไม่ได้เกิดเสมอไป และมีช่วงที่พันธบัตรทำงานได้ดีกว่าหลายรอบ
  • การผสมหุ้นและพันธบัตร (เช่น พอร์ต 60/40) ช่วยจัดพอร์ตตามความเสี่ยง และใช้ correlation ที่เปลี่ยนแปลงระหว่างสินทรัพย์ทั้งสองเพื่อ benefit
  • ปัจจุบันในยุคของ yield ที่สูงขึ้น bonds น่าสนใจขึ้น และ ratio stocks/bonds อาจเริ่มปรับลงในระยะกลาง
  • กลยุทธ์ควรเน้น การพิจารณาวงจรเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย และ valuation ไม่ควรตัดสินใจจากเลข ratio เพียงอย่างเดียว

วิเคราะห์แนวโน้มเหล่านี้ร่วมกับการจัดพอร์ตตามระยะเวลาดำรงชีวิต และเป้าหมายการเงินระยะยาว จะช่วยให้คุณวางแผนได้เหมาะกับสภาวะต่าง ๆ ของตลาดอย่างมั่นใจครับ

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น