ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นกับพันธบัตร (Stocks vs Bonds)
📊 ความหมายของอัตราส่วน
Stocks vs Bonds จาก LongTermTrends
เว็บไซต์ LongTermTrends แสดง
อัตราส่วนระหว่าง S&P 500 (รวมผลตอบแทนแบบ total
return ที่รวมเงินปันผล) กับ Total Return Bond Index เมื่ออัตราส่วนนี้ขึ้น → หุ้น (stocks) ทำผลตอบแทนดีกว่า bonds และเมื่ออัตราส่วนนี้ลดลง → bonds ทำผลตอบแทนดีกว่า stocks (Longterm Trends, Longterm Trends)
อัตราส่วนนี้ช่วยให้เห็นแนวโน้มระยะยาวของความเหนือกว่าของหุ้นหรือพันธบัตร
อย่างชัดเจน ว่าช่วงใดหุ้น outperform bonds หรือในทางกลับกัน
bonds outperform หุ้น
🧭 แนวโน้มระยะยาว:
หุ้นเหนือกว่าในภาพรวม แต่ไม่เสมอไป
จากข้อมูลย้อนหลังกว่า 100 ปี พบว่า:
- ใน ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงต้นยุค
1980s หุ้น (S&P 500) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุด (real
return ~6.8% ต่อปี หลังหักเงินเฟ้อ) ขณะพันธบัตรเฉลี่ยต่ำกว่า
(~2.8% real return) (Wikipedia)
- อย่างไรก็ตาม ถ้าย้อนข้อมูลไปยังศตวรรษที่ 19 หรือก่อนปี
1940 หลายประเทศพบว่าพันธบัตร (โดยเฉพาะรัฐบาล)
ให้ผลตอบแทนไม่น้อยกว่าหรือดีกว่าหุ้นในบางช่วง (W. P. Carey
School of Business, Wikipedia)
กล่าวคือ หุ้น outperform
bonds มาตลอดก็จริงในช่วงหลัง 1940s–1980s แต่นั่นไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเสมอไป
และไม่รับประกันว่าจะเกิดขึ้นเช่นเดิมในอนาคต
🔀 ความสัมพันธ์
(Correlation) ระหว่างหุ้นกับพันธบัตร
LongTermTrends ยังให้ข้อมูล Correlation
แบบ rolling 1‑ปี ระหว่าง
S&P 500 และ Total Return Bond Index ซึ่งพบว่า:
- ในช่วงขยายตัวของเศรษฐกิจ
หุ้นและพันธบัตรมักเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน (correlation เป็นบวก)
- ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยหรือ stress ตลาด bonds
มัก outperform เนื่องจากมีการโยกเงินไปสินทรัพย์ปลอดภัย
และดอกเบี้ยลดตามนโยบายธนาคารกลาง ทำให้ correlation พลิกเป็นลบได้ชัดเจน
(MarketWatch,
Longterm Trends)
นั่นแปลว่า
การมีพอร์ตที่มีทั้งหุ้นและพันธบัตรสามารถ ช่วยลดความผันผวนรวม และ ปรับสมดุลพอร์ตตามสภาวะตลาด
ได้ดียิ่งกว่าการถือสินทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว
📉 อัตราส่วนหุ้นต่อพันธบัตรกับกลยุทธ์
60/40
อัตราส่วน 60% หุ้น : 40%
พันธบัตร (strategy แบบคลาสสิก)
เคยเป็นแนวทางจัดสัดส่วนมาตรฐานตามหลัก Modern Portfolio Theory โดยเน้นเพิ่มผลตอบแทนเฉลี่ยต่อความเสี่ยงที่รับได้ โดยใช้ correlation
เชิงลบบางช่วงเป็นประโยชน์ (Longterm Trends)
กราฟจาก LongTermTrends แสดงภาพผลตอบแทนของพอร์ตแบบ
60/40 เทียบกับการถือหุ้นหรือพันธบัตรเดี่ยว ๆ
ซึ่งวิธีนี้ในอดีตช่วยลด downside ในช่วงตลาดหุ้นปรับฐาน
และให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ใกล้เคียงหุ้นในช่วง bull market ทั้งยังมี
drawdown น้อยกว่า
🧠 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเหนือกว่าของหุ้นหรือพันธบัตร
1. อัตราดอกเบี้ย (Interest rates)
- เมื่อดอกเบี้ยต่ำ → พันธบัตร yield ต่ำ
และหุ้นดูน่าลงทุนกว่าด้วยพรีเมียม ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสูง → อัตราส่วน
Stocks/Bonds ขยับขึ้น
- เมื่อดอกเบี้ยสูง หรือ central bank เร่งขึ้น → พันธบัตรน่าสนใจกว่าหุ้น
เพราะให้ yield ที่รับประกันและความเสี่ยงต่ำ → อัตราส่วนลดลง
ผู้คนหันสู่ bonds โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจเปลี่ยนโหมด
2. เศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic
conditions)
- ช่วงเศรษฐกิจถดถอย นักลงทุนมักโยกเงินไป bond safe‑haven → พันธบัตร outperform
- ช่วงขยายตัว หุ้น outperform bonds
3. Equity risk premium และ equity
premium puzzle
- การที่หุ้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรในระยะยาว (equity risk
premium ~5–8%) ถือเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนยอมถือความเสี่ยงมากขึ้นในหุ้น
แต่งานวิจัยบางชิ้นชี้ว่าความแตกต่างนี้อาจเป็น “puzzle” เพราะสูงกว่าที่ควรเป็นตามทฤษฎี risk aversion (W. P. Carey
School of Business)
📌 สรุปแนวคิดเชิงปฏิบัติ
หัวข้อ |
ความหมายต่อการลงทุน |
Stocks vs Bonds Ratio |
ใช้ดูว่าในระยะยาวตลาดหุ้น outperform หรือ underperform bonds |
Correlation |
ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย
หุ้นและพันธบัตรมักเคลื่อนไหวสวนทาง ทำให้ diversification มีประโยชน์ |
60/40 Portfolio |
ยังเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทั่วไป
เพราะให้ผลตอบแทนดีและลดเสียงความผันผวน |
ค่า equity premium |
ยืนยันว่าหุ้นมีผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่า bonds
แต่มาพร้อมความเสี่ยงและไม่ใช่ผลลัพธ์ที่รับประกันได้เสมอไป |
สภาวะปัจจุบัน (2025) |
ช่วงที่ดอกเบี้ยสูง yield bonds ดี หุ้นอาจถูกถือว่าแพงเมื่อเทียบ กับ yield fixed income → ratio อาจเริ่มลดลง
favor bonds ได้ (MarketWatch,
MarketWatch,
Longterm Trends, Wikipedia) |
✅ ข้อควรระวังและข้อจำกัด
- อัตราส่วนนี้วัดจาก data เก่า ไม่ใช่ predictor
อัตโนมัติ — ไม่ได้บอกว่าพรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นหรือลง
แต่ช่วยสังเกตแนวโน้มระยะยาว
- ยูสต์เปอร์ฟอร์มมาไม่เท่ากัน — หุ้นอาจขึ้นต่อเนื่องหลายปีก่อนปรับฐาน ในขณะที่ bonds yield
curve ก็ผันผวนตามดอกเบี้ย
- สภาพคล่องและ timeframe สำคัญ — พันธบัตรมี maturity แตกต่างกันและอาจมี duration
risk สูง ส่วนหุ้นไม่มี maturity
- ประวัติศาสตร์ไม่ใช่กฎตายตัว — เช่นในศตวรรษที่
19 bonds เคย outperform stock จำนวนมาก
และอัตราผลตอบแทนในอนาคตอาจไม่เหมือนอดีต (W. P. Carey
School of Business, Wikipedia)
🌱 แนวทางแนวคิดการใช้ในทางปฏิบัติ
- นักลงทุนอาจใช้ อัตราส่วน Stocks/Bonds จาก LongTermTrends เพื่อดูบริบทระยะยาวว่าหุ้นกำลังแพงหรือถูกเมื่อเทียบกับพันธบัตร
- เมื่ออัตราส่วนสูงมาก เช่น หุ้น outperform bonds มาหลายปี อาจพิจารณา ลดสัดส่วนหุ้นหรือเพิ่มพันธบัตร เพื่อรักษาสมดุล
- เมื่ออัตราส่วนต่ำ เช่น bonds outperform หุ้น
อาจเป็นจังหวะ เพิ่มหุ้นเพื่อสะสมเมื่อ valuation ถูก
- การใช้กลยุทธ์ 60/40 (หรือปรับตามอายุและ risk
tolerance) ยังคงเป็นแนวทางที่ปลอดภัยและพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ในหลายสภาวะตลาด
- ควรติดตาม สัญญาณทางเศรษฐกิจ (เช่น yield curve
inversion, policy ของธนาคารกลาง) เพื่อพิจารณาปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับช่วงตลาด
✅ สรุปทิ้งท้าย
- อัตราส่วน Stocks vs Bonds จาก LongTermTrends
ช่วยให้นักลงทุนเห็นว่าในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นหรือพันธบัตรตัวใด
outperform อีกฝ่าย
- ถึงหุ้นมัก outperform bonds ในระยะยาว
แต่ไม่ได้เกิดเสมอไป และมีช่วงที่พันธบัตรทำงานได้ดีกว่าหลายรอบ
- การผสมหุ้นและพันธบัตร (เช่น พอร์ต 60/40)
ช่วยจัดพอร์ตตามความเสี่ยง และใช้ correlation ที่เปลี่ยนแปลงระหว่างสินทรัพย์ทั้งสองเพื่อ benefit
- ปัจจุบันในยุคของ yield ที่สูงขึ้น
bonds น่าสนใจขึ้น และ ratio stocks/bonds อาจเริ่มปรับลงในระยะกลาง
- กลยุทธ์ควรเน้น การพิจารณาวงจรเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย และ valuation
ไม่ควรตัดสินใจจากเลข ratio เพียงอย่างเดียว
วิเคราะห์แนวโน้มเหล่านี้ร่วมกับการจัดพอร์ตตามระยะเวลาดำรงชีวิต
และเป้าหมายการเงินระยะยาว จะช่วยให้คุณวางแผนได้เหมาะกับสภาวะต่าง ๆ
ของตลาดอย่างมั่นใจครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น